“ลูกเสือ พุทธศาสนา และหน้าที่พลเมือง” เป็นวิชาเรียนที่เด็กไทยไม่อยากเรียนมากที่สุด !
เป็นผลสำรวจในหัวเรื่อง “เด็กไทยอยากได้อะไรจากระบบการศึกษา” ดำเนินการสำรวจโดย Rocket Media Lab ร่วมกับมูลนิธิแพธทูเฮลท์ ได้จัดทำแบบสอบถามนักเรียนระดับชั้น ป.1-ม.6 ทั่วประเทศ ในช่วง วันที่ 9-11 มกราคม 2567 เพื่อสำรวจความคิดเห็นในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้อง กับระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ในโรงเรียน การเรียนการสอน ครู จำนวน 1,985 คน
วิชาที่อยากให้ยกเลิกที่สุด วิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และบำเพ็ญประโยชน์ 61.26% วิชาพุทธศาสนา 11.34% วิชาหน้าที่พลเมือง 6.45%
ผลสำรวจนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องควรให้ความสำคัญ ถือเป็นวาระเร่งด่วนของชาติ เพราะสาระสำคัญนั้นไม่น่าจะอยู่ที่ชื่อวิชา แต่น่าที่จะพิจารณาใคร่ครวญจากเจตนารมณ์ของวิชานั้นๆ ว่าสำคัญอย่างไร?
ฐานความคิดเรื่องนี้ ก็คือปรากฎการณ์ทางสังคมอันเป็นผลจากความคิด พฤติกรรม และพลังการสื่อสารของประชาชนบางกลุ่ม ที่ก่อปฏิกริยาต่อต้านกับระเบียบสังคม ขนบธรรมเนียมปฏิบัติ ประชามติ นิติรัฐ อย่างรุนแรง ไม่ยี่หระต่อแรงเสียดทานและบทลงโทษจองจำที่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ผ่านวินิจฉัยศาลชัดเจน
มักจะปรากฏวาทกรรมโยนบาปแบบครอบจักรวาลไปที่คำว่า “พัฒนาการโลก” ยุคสมัยที่ปรับเปลี่ยนกระชากโลก ชนิดที่พลโลกต้องดิ้นหนีวิถีชีวิตเดิมๆมิให้กลายเป็นภาระโลก คำกล่าวแบบกระแทกแดกดัน “แก่กะโหลกกะลา” ที่ออกจากปากนักการเมืองคนหนึ่งที่โต้ตอบนักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่งในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงสะเทือนเลื่อนลั่นบรรทัดฐานของจริยธรรม และเจตคติคุณลักษณะไทย คือ “การเคารพผู้อาวุโส” ปลาสนาการไปทันควัน
สังคมประชาธิปไตยจ๋าแบบไทยๆ กับอากัปกริยาของบุคคลบางกลุ่มที่แสดงออกโดยอ้างกฎกติกามารยาท ตั้งแต่เรื่องสิทธิมนุษยชนจนถึงการก้าวล่วงล้ำเส้นคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ชนิดที่ไม่สนโลกและไม่แคร์ความรู้สึก ไม่เกรงอกเกรงใจ ผรุสวาทใส่ “บรรพชน-บุพการี-ครูบาอาจารย์” โดยไม่มีข้อจำกัดความหยาบคายจนเป็นปรากฎการณ์ปกติในสังคมไทย ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อให้สะเทือนใจผู้เสพข่าว
นายอรรณพ จูจันทร์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย ผู้ซึ่งคร่ำหวอดกับกิจการลูกเสือจังหวัดเชียงรายเคยกล่าวไว้ว่า วิชาลูกเสือเป็นวิชาสร้างสุภาพบุรุษ เป็นฐานสร้างเสริมผู้เรียนให้บังเกิดคุณลักษณะของคนไทยที่พึงประสงค์ คือ ความประพฤติ นิสัยใจคอ สติปัญญา ความมีระเบียบวินัย ความสุภาพ การฝีมือ ทักษะ และการบำเพ็ญประโยชน์
เช่นเดียวกันกับวิชาพุทธศาสนาและหน้าที่พลเมือง ที่ล้วนแต่บ่มเพาะให้เยาวชนคนไทยได้ตระหนักรู้ตามแนวทาง “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์” ตลอดจนการทำหน้าที่ในฐานะคนไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกอื่นๆฉบับเดียวกัน
เมื่อเด็กและเยาวชนไทยเจนX เจนYจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้นำในวันข้างหน้า ผู้ใหญ่เบบี้บูมในวันนี้ก็ทยอยล้มหายตายจากกันไป ผลสำรวจการศึกษาที่ว่าเด็กไทยเบื่อที่จะเรียนวิชาลูกเสือ เนตรนารี วิชาพุทธศาสนาและวิชาหน้าที่พลเมือง ผนวกกับข่าวสารรายวันที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงก้าวร้าวก้าวล่วง จึงเป็น KPI ที่แทบจะหลับตาพยากรณ์ถึงอนาคตของสังคมไทยในทั้งมิติระดับจุลภาค คือ ครอบครัว ไปจนถึงระดับมหภาค คือ ประเทศชาติในวันข้างหน้าได้เป็นอย่างดี
นายโสไกร ใจหมั้น ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย เคยกล่าวปรารภกับผมถึงเรื่องปรากฎการณ์ทางพุทธศาสนา เช่น ทำไมปัจจุบันพระสงฆ์ สามเณร ในวัดจึงมีจำนวนน้อยลง ทำไมผู้คนนิยมเข้าวัดเพื่อปฏิบัติธรรมสร้างกุศลผลบุญก็มีค่อนข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตที่ผ่านมาว่า “องค์กรหรือหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องมีการประเมินผล ทบทวนและพิจารณาถึงสาเหตุที่ผู้คนในสังคมทำไมถึงมีปฏิกริยาเชิงลบกับพระสงฆ์ แม้จะเป็นส่วนน้อย แต่ก็ไม่ควรมีมิใช่หรือ? หรือการบวชเรียน ที่ภาครัฐต้องประเมินผลและศึกษาเทียบเคียงกับหน่วยงานการศึกษาอื่นๆให้รอบด้าน เพื่อที่จะแก้ปัญหาได้ตรงจุด”
ไหนๆก็จะเป็นสังคมไทยยุคใหม่ หากมองหน้าตักต้นทุนทางด้านการศึกษาไทยว่าเป็นเสบียงสำคัญระยะยาวที่จะหล่อเลี้ยงเด็กวัยเรียนและเยาวชนให้เป็นคนไทยที่จะเป็นผู้ใหญ่และผู้นำในวันข้างหน้า การทบทวนถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนวิชา“ลูกเสือ เนตรนารี-พุทธศาสนาและหน้าที่พลเมือง” ตามที่เด็กบ่นเบื่อและไม่อยากเรียน จึงเป็นปุจฉาเล็กๆทว่ากระทุ้งแผ่นดินระยะยาวได้อย่างมโหฬาร
ซึ่งถ้าคนเป็นผู้ใหญ่ในระดับกระทรวง หน่วยงาน องค์คณะบุคคล คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง ยังลมเพลมพัด รับทราบแล้วเก็บเข้าลิ้นชัก ซึ่งก็คงไม่ต้องถึงกับฟื้นฝอยหาตะเข็บหลักสูตรหรือรายชื่อวิชาต้องห้ามหนามยอกอกเหล่านี้
แต่น่าที่จะมีคำตอบให้ชัดๆว่า มีวิธีการอย่างไรไหม? ที่จะทำให้ในระยะยาวคนรุ่นใหม่ “มีความประพฤติดีมีวินัย เชื่อในกรรมดีกรรมชั่วและเคารพกฎหมายบ้านเมือง”
ถ้าวันนี้ยังมีโอกาส แต่ทว่ายังเพิกเฉยไม่ยินดียินร้ายปล่อยไปตามเวรตามกรรม ก็คงต้องน้อมยอมรับในเสียงกระแนะกระแหนจากเด็กๆลูกหลานที่ดังอื้ออึงเต็มแผ่นดินว่า “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” จริงๆ ….
อมิตตพุทธ !