สถาบันชาและกาแฟ แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและกาแฟในประเทศไทย ภายใต้โครงการ “Training on a Sustainability of Arabica Coffee Production in Thailand” ระหว่างวันที่ 20-25 ตุลาคม 2568 ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่
.
โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการผลิตและการพัฒนากาแฟอาราบิกาอย่างยั่งยืนระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยและสาธารณรัฐโคลอมเบีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกาแฟชั้นนำของโลก ตลอดจนเปิดโอกาสสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการในระดับนานาชาติ
.
พิธีต้อนรับคณะผู้เชี่ยวชาญจากโคลอมเบีย มีขึ้นในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นรดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้กล่าวต้อนรับจาก นายอันเดรส เลโอนาร์โด ซัวเรซ กัลวิส เลขานุการฝ่ายการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูตโคลอมเบียประจำประเทศไทย
.
คณะผู้เชี่ยวชาญจากโคลอมเบียประกอบด้วย นักวิจัยจาก Cenicafé ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยกาแฟแห่งชาติของโคลอมเบีย อาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจจาก Tecnicafé และเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟ ซึ่งจะร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคณาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
.
กิจกรรมภายในโครงการประกอบด้วยการนำเสนอแนวทางความร่วมมือทางวิชาการ การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการขั้นสูงของมหาวิทยาลัย รวมถึงกลุ่มวิจัยคุณภาพกาแฟ ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงงานนำร่องเครื่องสำอาง และการนำเสนอโครงการกาแฟของมหาวิทยาลัย
.
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาดูงานจากเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟชั้นนำของไทย อาทิ Magpie farm Queen Coffee Heramon farm พร้อมทั้งกิจกรรม Thai specialty coffee ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ชิมกาแฟพิเศษของไทย
.
ดร.อมร โอวาทวรกิจ หัวหน้ากลุ่มงานกาแฟ สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวถึงโครงการนี้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองประเทศได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการผลิตกาแฟอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ยั่งยืน
.
การจัดกิจกรรมเป็นส่วนหนึ่งในความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการยกระดับคุณภาพการผลิตกาแฟไทยสู่มาตรฐานสากล และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยต่อไป
.

