19.ความรู้สึกต่อสถานภาพและบทบาทของการเป็นผู้สูงอายุในปัจจุบัน
“ความรู้สึกต่อสถานภาพและบทบาทตนเองของผู้สูงอายุ” เป็นความประสงค์ของการวิจัยนี้เช่นกัน เพื่อจะทราบ “ความในใจ” ของผู้สูงอายุต่อสภาพการณ์ปัจจุบันของผู้สูงอายุว่า จะสะท้อนความรู้สึกไปในทิศทางใดเรื่องอะไรได้อย่างเสรี จากการรวบรวมคำตอบทั้งหมดสามารถจำแนกความรู้สึกต่อสถานภาพและบทบาทของการเป็นผู้สูงอายุได้ 4 ประการคือ 1.ความรู้สึกต่อสถานภาพและบทบาทในปัจจุบัน 2.ความรู้สึกด้านสุขภาพ 3.ความรู้สึกด้านจิตใจ 4.ความรู้สึกต่อบทบาททางสังคม
1.ความรู้สึกต่อสถานภาพและบทบาทในปัจจุบัน ผู้สูงอายุแสดงความรู้สึกทั้งด้านบวก คือ “พอใจ” และแสดงความรู้สึกใจทางลบ คือ “ไม่พอใจ” ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
กลุ่มพอใจ ในสังคมชนบทการทำงานภาคเกษตรกรรมค่อนข้างมีอิสระ ไม่ผูกพันกับเวลาการทำงานและระเบียบกฎเกณฑ์ การทำงานในไร่นาถือเป็นงานที่หนักที่ต้องตรากตรำตลอดทั้งฤดูกาลเพาะปลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานมนุษย์มากกว่าเครื่องจักร ดังนั้นเมื่อถามถึงความรู้สึกต่อภาระหน้าที่การงานในปัจจุบัน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีความรู้สึกพอใจที่ได้หยุดการทำงานที่หนักมาตลอด โดยให้เหตุผลว่าขณะนี้พอใจที่ไม่ต้องทำงานเดิม เพราะทำมาจนเบื่อแล้วและมีความสุขที่ได้พักผ่อน การทำงานสมัยก่อนเพราะมีเรี่ยวแรง พอมาถึงปัจจุบันไม่มีแรงเมื่อมีพอกินพอใช้ก็ไม่จำเป็นต้องทำงาน ที่ทำงานอยู่ปัจจุบันนี้ก็ช่วยทำให้ไม่เหงาเพราะลูกหลานดูแลดี ทำงานแทนหมดแทบทุกอย่าง โดยให้เหตุผลว่าเมื่อมีอายุมากก็ต้องพักผ่อนบ้าง ผู้สูงอายุบางคนแม้จะแสดงความพอใจที่ได้อยู่สบายขึ้นไม่ต้องทำงานหนัก แต่ก็ยังคงทำงานเล็กๆ น้อยๆ บางคนปลูกพริก ปลูกผัก เพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด การทำงานบ้าน เลี้ยงหลาน ทำอาหารนั้นเหมาะสมกับผู้สูงอายุ เพราะทำงานอยู่ในร่มจึงมีความสุขที่ไม่ต้องออกไปท้องไร่ท้องนา แต่จะให้สนุกและมีความรับผิดขอบแบบเดิมย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะอายุมากขึ้นสุขภาพร่างกายก็เสื่อมถอยลงสู้งานหนักไม่ได้ ดังนั้นผู้สูงอายุบางคนที่ชอบการเพราะปลูก จะยังคงปลูกดอกไม้ ปลูกผลไม้ ภายในบริเวณบ้าน ซึ่งแตกต่างกับการทำไร่ทำนา ที่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำนา กินข้าวปลาอาหาร กินข้าวปลาอาหารที่ภรรยาหาไปส่งให้ กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็มืดค่ำ ชีวิตความเป็นอยู่และความรู้สึกต่อภาระหน้าที่ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการหาเลี้ยง ดูแลบ้านช่องแทนลูกหลานที่ออกไปทำงาน เป็นเวลาที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน เพราะอดีตได้เลี้ยงดูลูกหลานมาแล้ว ผู้สูงอายุจึงไม่ควรฝืนสังขาร เพราะอายุมากขึ้นๆ ไม่ควรทำงานหนัก ภาระหน้าที่ในปัจจุบันที่เหมาะสม คือ ชี้แนะให้คำปรึกษาแก่ลูกหลาน ซึ่งก็เปรียบเป็นหน้าที่และบทบาทสำคัญอย่างหนึ่ง
กลุ่มไม่พอใจ ภายหลังที่เป็นผู้สูงอายุแล้ว การทำงานลดลงหรือไม่ได้ทำเลยทำให้ผู้สูงอายุมีความไม่พอใจต่อสถานภาพและบทบาทในปัจจุบัน 1. เพราะขาดรายได้ เพราะอายุมากไม่มีใครจ้าง 2.ถ้ายังคงทำงานอยู่ปริมาณงานที่ทำนั้นน้อยลงกว่าเดิม 3.การเลี้ยงหลานเป็นภาระหนักต้องตื่นแต่เช้าไม่ได้พักผ่อนมีความรับผิดชอบสูง 4.ยังคงต้องรับจ้างอยู่เพราะยากจน หากไม่ทำงานก็อดตาย 5.ทำงานไม่ได้เลย เหนื่อยและไม่มีแรงเหมือนสมัยหนุ่มสาว รู้สึกอายผู้คนเมื่อทำงานไม่ได้ 6.เนื่องจากไม่ได้ทำงานและเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพาบุตรหลานจึงต้องประหยัดอดออม 7.การไม่มีงานทำและไม่ได้ทำงาน ทำให้ผู้อื่นลำบาก หน้าที่บทบาทลดน้อยลงไปทุกวัน
ผู้สูงอายุในกลุ่มที่ไม่พอใจต่อสถานภาพและบทบาทในปัจจุบันส่วนมากจะให้ความสำคัญที่รายได้ การทำงาน และการสูญเสียโอกาสที่ไม่สามารถเป็นผู้ผลิต จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น แม้จะเป็นพ่อเป็นแม่ก็รู้สึกเกรงใจและไม่พอใจในสถานภาพที่ตนเองเป็นอยู่
- ความรู้สึกด้านสุขภาพ “สุขภาพ” เป็นประเด็นที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นอุปสรรคปัญหาที่บั่นทอนสถานภาพและบทบาทโดยตรง ซึ่งจะสัมพันธ์กันระหว่างสุขภาพการทำงานและรายได้ กล่าวคือ สุขภาพที่ไม่ดีจะไม่สามารถทำงานได้ ผู้สูงอายุบางคนแม้จะแก่แล้วแต่สุขภาพดียังสามารถทำงานหาเงินได้ ความแก่ไม่ใช่เป็นอุปสรรคอย่างเดียวแต่จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพในทางกลับกัน ผู้สูงอายุบางคนให้เหตุผลว่าบุคคลบางคนที่อายุยังไม่ถึง 60 ปี ถ้าสุขภาพไม่ดีก็เปรียบเสมือนคนแก่ สำหรับผู้สูงอายุที่มีลูกหลานเลี้ยงดูแม้จะไม่ต้องทำงานแต่ก็ลำบากใจเพราะสุขภาพไม่ดี ความหมายของ “สุขภาพ” ตามการรับรู้ของผู้สูงอายุ คือ 1.การเคลื่อนไหว การเดินทางไปไหนมาไหนได้เหมือนคนอื่นๆ 2.การมีโรคประจำตัว หลายคนยอมรับว่าเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปวดข้อ ปวดเข่า 3.หลงลืม 4.หูตาไม่ดี 5.ทำงานหนักไม่ได้ เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง เป็นต้น
ผู้สูงอายุมีความเชื่อว่า “สุขภาพ” ที่เป็นปัญหานั้นเป็นประเด็นทางด้านกายภาพ สรีระร่างกายที่ร่วงโรยตามวัย การที่ต้องทำงานหนักในช่วงวัยหนุ่มเป็นสาวนั้น ร่างกายต้องทำงานหนัก ทำให้ทรุดโทรม โดยให้เหตุผลว่าในอดีตไม่มีเครื่องทุ่นแรง ร่างกายตรากตรำมานาน พอมีอายุยังไม่ถึง 60 ปี ร่างกายก็จะทรุดโทรมเร็ว ผู้สูงอายุหลายคนได้เปรียบเทียบระหว่างผู้สูงอายุหญิงที่ทำงานน้อยกว่าและสุขภาพจะดีกว่า โดยเชื่อว่าผู้สูงอายุชายที่ตายเร็วเพราะทำงานมาก ส่วนผู้สูงอายุหญิง เนื่องจากมีร่างกายอ่อนแอ ไม่ได้ทำงานหนัก จึงมีชีวิตยืนยาวกว่า นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบกับผู้ที่ประกอบอาชีพอื่นที่ไม่ได้ทำนาทำไร่ พออายุ 60 ปี ก็ยังดูไม่แก่ ทั้งนี้ก็เพราะร่างกายไม่ได้ทำงานหนักสุขภาพจึงไม่เสื่อมโทรมมาก
ดังนั้นประเด็นความรู้สึกด้านสุขภาพ จึงนับเป็นเรื่องสำคัญของผู้สูงอายุ แม้บางคนที่พอทำงานได้ ก็ให้เหตุผลว่าเพราะสุขภาพไม่ดี จึงไม่อาจำได้อย่างเต็มที่ จึงยอมรับว่าสถานภาพและบทบาทลดน้อยลงไปและเปลี่ยนแปลงตามอายุและสุขภาพ ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะกลับมาสมบูรณ์และแข็งแรงเหมือนเดิมได้อีก เพียงแต่ประคับประคองสุขภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันให้ดีต่อไป จึงต้องหลีกเลี่ยงและไม่อยากทำงานหนักๆ เพราะอาจจะเป็นภาระของลูกหลานต่อไป และต้องระวังสุขภาพเสมอ ถ้าเหนื่อยก็ต้องหยุดพัก ผู้สูงอายุบางคนที่มีความตั้งใจจะทำงาน แต่สุขภาพไม่อำนวยถึงกับโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งเดิม
- ความรู้สึกด้านจิตใจ นับเป็นประเด็นสำคัญที่ปรากฏในการศึกษาครั้งนี้ที่ผู้สูงอายุได้เผชิญปัญหาด้านจิตใจที่รู้สึกอึดอัดใจ ที่เปลี่ยนจากสถานภาพและบทบาทที่เคยทำงานมาอยู่เฉยๆ หรือทำงานลดน้อยลงไปจากเดิม ความไม่สบายใจ รู้สึกหงุดหงิด เบื่อและรำคาญใจที่ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ที่ผู้สูงอายุสะท้อนออกมา นับเป็นส่วนน้อยเพียง 29 รายของผู้สูงอายุทั้งหมด รายละเอียดที่ผู้สูงอายุแสดงความรู้สึก เช่นเบื่อ รำคาญที่ต้องนั่งๆ นอนๆ ให้หมดไปวันๆ หนึ่ง บางครั้งรู้สึกหงุดหงิดโมโหที่ทำงานไม่ได้ รู้สึกเหงาเพราะเวลากลางวันลูกไปทำงานหลานไปโรงเรียน ต้องนั่งอยู่บ้านเฉยๆ เวลาว่างมีมาก รู้สึกอึดอัดใจ บางครั้งคิดไปว่าลูกหลานทอดทิ้ง ถ้าได้ออกไปไหนมาไหนบ้างก็จะลดความกดดัน สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องเลี้ยงหลานทั้งวันมักจะบ่นอึดอัดใจที่การเลี้ยงหลานเป็นภาระที่หนัก แม้ดูเหมือนจะไม่เป็นงานหนักแต่เครียดเพราะต้องเอาใจใส่ตลอดเวลา นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพไม่ดี มีโรคประจำตัว จะรู้สึกว่าตนเองทำประโยชน์ให้ครอบครัวน้อย เกรงใจลูกหลานที่ต้องเลี้ยงดู แต่ก็พยายามทดแทนหน้าที่คือช่วยเลี้ยงหลาน
- ความรู้สึกต่อบทบาททางสังคม การเป็นผู้สูงอายุเปรียบเสมือนการถูกปลดจากหน้าที่การงานซึ่งเคยทำมาตลอด ผลกระทบต่อสถานภาพและบทบาททางสังคม คือ การเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังคงได้รับการยอมรับในฐานะประมุขของครัวเรือน ทั้งผู้สูงอายุชายและหญิง ดังนั้นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้ตอบด้วยความมั่นใจว่าตนเองยังมีบทบาทที่เป็นผู้นำของครอบครัวอยู่ ลูกหลานยังให้ความเคารพเชื่อฟังผู้สูงอายุกลุ่มนี้จะมีทัศนคติในทางบวกต่อตนเองที่เป็นผู้สูงอายุทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตลอดจนภาระหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอยู่ในปัจจุบัน
ผู้สูงอายุแทบทั้งหมดยอมรับสถานภาพและบทบาทของการเป็นผู้สูงอายุ โดยพยายามทำใจและยอมรับความจริงว่าการเป็นผู้สูงอายุจะทำให้เกิดความเสื่อมถอยทั้งร่างกายและจิตใจ ในจำนวนนี้หลายคนให้เหตุผลว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องอดทนและพยายามปรับตัว แม้จะรู้สึกรำคาญ เบื่อ แต่ก็พอใจที่ลูกหลานเลี้ยงดูเอาใจใส่ ได้มีโอกาสไปวัดฟังธรรม เวลาเจ็บป่วยมีคนพาไปหมอก็เพียงพอสำหรับตัวเอง ไม่พยายามฝืนสังขาร ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่พยายามจะคิดอะไรมาก สำหรับผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว และยากจนยอมรับว่ามีจิตใจไม่ปกติ โกรธง่าย ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น จึงทำตัวให้เป็นประโยชน์ ทำงานบ้าน ถ้าเหนื่อยก็พักผ่อน แต่ก็ดีใจที่ยังเป็นแม่บ้านคอยดูแลลูกหลานอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับผู้สูงอายุที่มีความรู้สึกต่อสถานภาพและบทบาทในทางลบ รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ลูกหลานไม่ค่อยเชื่อฟังเพราการที่เป็นผู้สูงอายุ ส่วนบทบาททางสังคมนั้นแม้จะเป็นบิดา มารดา ก็เริ่มลดลงเช่นกัน เพราะมิได้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเลี้ยงดูด ความเป็นอยู่ในปัจจุบันจึงค่อนข้างลำบาก แต่เดิมเคยหาเงินให้ลูกหลาน แต่ปัจจุบันต้องเป็นฝ่ายพึ่งพาลูกหลาน เชื่อว่าบทบาทในฐานะผู้นำของครอบครัวลดลง ทั้งชายและหญิง แต่ก็ยังมีความเชื่อว่าลูกหลานยังคงให้ความเคารพอยู่ เพราะลูกหลานจะต้องมาทำหน้าที่เป็นผู้นำของครอบครัวแทน เหตุผลนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาททางสังคม ของผู้สูงอายุว่ายังคงเชื่อว่าตนเองมีความสำคัญอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับประเด็นอื่นที่ถามถึงทรรศนะของลูกหลานที่มีต่อผู้สูงอายุนั้น อาจกล่าวได้ว่าผู้สูงอายุจะได้รับคำร้องขอจากลูกหลานไม่ให้ทำงาน ไม่ต้องการให้ทำหน้าที่หาเลี้ยง อยากให้พักผ่อนซึ่งแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและความเคารพยกย่องแก่บุพการี
บางครอบครัวปรากฏว่า มารดาซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านยังคงทำหน้าที่เดิมแม้จะสูงอายุแล้ว โดยยังเป็นผู้บริหารงานในบ้าน เก็บเงินและจัดการทุกอย่าง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในสังคมชนบทไทยที่มอบหมายงานในบ้านให้แก่แม่บ้าน แม้ทั้งสองคนต่างเป็นผู้สูงอายุด้วยกันแล้วก็ตาม ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนเรื่องบทบาททางสังคมอีกประการหนึ่ง คือ การให้ความสำคัญในเรื่องการขอคำแนะนำ คำปรึกษา ซึ่งจะพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ลูกหลานยังคงมองเห็นว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นประมุขและผู้นำอย่างเดิม เมื่อเกิดปัญหาหรือต้องการการตัดสินใจก็จะขอคำแนะนำและปรึกษาหารืออยู่เสมอ