ผมเขียนบทความนี้เนื่องจากมีข่าวทางโลกโซเชี่ยลว่า มีสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งประกาศนโยบายไม่ให้บัณฑิตใหม่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรอีกทั้งมีข่าวว่ามีบัณฑิตใหม่จำนวนไม่น้อยปฏิเสธการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้เป็นประจำทุกปี ทำให้เกิดความแตกต่างทางความคิดของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเดิม จนเป็นเหตุให้เกิดแห่งความขัดแย้ง แม้แต่ในครอบครัวเดียวกันพ่อแม่ทะเลาะกับลูกเรื่องที่ลูกไม่ยอมร่วมพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร ผมหวังที่จะให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าคนรุ่นเดิมนั้นรู้สึกอย่างไรกับพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
“การรับพระราชทานปริญญาบัตรมีความหมายเพียงใด?”
นพ.พิษณุขันติพงษ์
ก.พ.2565
ขอบคุณภาพประกอบที่งดงามอย่างที่สุดจากอินเตอร์เน็ต
ปัจจุบันมีบัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัฐจำนวนหนึ่งแสดงความประสงค์ที่จะไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรที่ทางสถาบันการศึกษาจัดให้จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามผมถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลแต่ไม่ควรเป็นนโยบายขององค์กรหรือสโมสรนักศึกษาเพราะเราต้องเคารพในสิทธิเพื่อนนักศึกษาอีกจำนวนมากที่ประสงค์จะเข้าร่วมพิธีเช่นกัน
ในชีวิตของผมนั้นมีโอกาสเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากในหลวงร.9 ถึง3ครั้งผมยังจำความรู้สึกได้ทุกครั้ง
ครั้งแรกผมรับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต(วทบ.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปีพศ.2520 ที่ศาลาอ่างแก้ว(ขณะนั้นยังเป็นศาลาโล่งๆขนาดใหญ่มุงด้วยใบตองตึง) มีการตกแต่งสถานที่ด้วยดอกไม้นานาพรรณงดงามมากหลังรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของในหลวงเสร็จเดินกลับมานั่งประจำที่แล้วผมพยายามทบทวนเหตุการณ์ช่วงสั้นๆที่เกิดขึ้นขณะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรพบว่าจำช่วงเวลาขณะที่รับปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ไม่ได้เลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวาก่อนยื่นมือไหนรับเอางานด้วยหรือเปล่าทุกอย่างเป็นไปตามอัตโนมัติหลังเสร็จพิธีเพื่อนบอกว่าผมถอนสายบัวด้วย(อาจเป็นเพราะทำตามเพื่อนที่เป็นบัณฑิตหญิง)
ครั้งที่สองผมรับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต(พบ.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี 2522 ที่ศาลาอ่างแก้วเช่นเดิมในครั้งนั้นผมมีความตั้งใจมากปฏิบัติตัวตามที่ได้ซ้อมไว้จนมั่นใจขณะยื่นมือรับใบปริญญาบัตรผมมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่านที่ทรงมองเห็นความเมตตาในสายพระเนตรของพระองค์อย่างเห็นได้ชัด
ครั้งที่สามผมรับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางคลินิก(สูตินรีเวชกรรม) มหาวิทยาลัยมหิดลปี พศ.2525 ที่สวนอัมพรคราวนี้ขณะรับพระราชทานปริญญาบัตรผมมองเห็นพระพักตร์ในหลวง ร.9 สมเด็จพระบรมราชินีและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯที่เสด็จมาร่วมในพิธีรวมทั้งสามพระองค์ทุกพระองค์ทรงมองบัณฑิตด้วยสายพระเนตรที่แสดงถึงความชื่นชมยินดี
ในความทรงจำทั้งสามครั้งผมรู้สึกซาบซึ้งใจและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงสละเวลามาพระราชทานปริญญาให้บัณฑิตผมจำได้ว่าในพระบรมราโชวาทที่ทรงมีต่อบัณฑิตใหม่ทุกครั้งทรงกล่าวชื่นชมแสดงความยินดีที่บัณฑิตทุกคนมีความอุตสาหะขยันหมั่นเพียรจนสามารถเรียนจบการศึกษาและทรงขอให้บัณฑิตทุกคนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
ทุกครั้งที่ผมรับปริญญาคนที่ดีใจที่สุดคือคุณพ่อและคุณย่าของผมเอง (เสียดายที่คุณแม่ผมเสียชีวิตตั้งแต่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หรือม.ศ.4) ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีความภูมิใจที่เห็นความสำเร็จของลูกหลานสำหรับครอบครัวของผมนั้นทุกคนมีความยินดีอย่างที่สุดที่ผมจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรคุณพ่อและคุณย่าของผมต่างก็ตัดสูทตัดเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อเข้าร่วมในพิธีด้วยหลังเสร็จพิธีต่างก็เลี้ยงฉลองกันภายในครอบครัวอย่างมีความสุข
ระยะหลังๆมานี้มักมีข่าวจากมหาวิทยาลัยทุกแห่งว่าบัณฑิตจำนวนหนึ่งไม่ต้องการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรแต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดๆในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่ที่เคยเป็นบัณฑิตมาก่อนอยากจะบอกกับน้องๆทุกคนว่าตัวผมเองนั้นไม่ว่าจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรกี่ครั้งก็มีความสุขทุกครั้งและหลังรับพระราชทานปริญญาบัตรแล้วทุกครั้งผมจะสัญญากับตัวเองด้วยว่าจะนำความรู้ที่ได้รับไปทำให้เกิดประโยชน์และสร้างสิ่งดีงามให้แผ่นดินต่อไปดังพระบรมราโชวาทที่กล่าวฝากบัณฑิตทุกคน
แค่เราลองคิดดูว่าพระองค์ทรงประทับอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมงทรงยื่นพระหัตถ์มอบใบปริญญาบัตรที่มีปกผ้าไหมหุ้มมีน้ำหนักพอสมควรให้กับบัณฑิตที่ยื่นมือรับทีละคนจำนวนหลายพันคนเป็นเวลาหลายชั่วโมงทรงประทับอยู่ในอริยาบทเดียวที่สำคัญนั้นสีพระพักตร์ทรงยิ้มแย้มแจ่มใสเพื่อต้องการให้บัณฑิตทุกคนได้ภาพที่สวยงามครั้งหนึ่งในชีวิตไม่เคยแสดงความเบื่อหน่ายหรือเหน็ดเหนื่อยให้เห็น
ในปัจจุบันมีบัณฑิตหลายคนมีความพิการต้องนั่งล้อเข็นเข้าร่วมในพิธีเราจะเห็นพระองค์เสด็จลงมาพระราชทานปริญญาบัตรให้กับมือบัณฑิตที่ด้านล่างเป็นการแสดงถึงความมีเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้
เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้วทรงมีพระบรมราโชวาทให้บัณฑิตทุกคนด้วยเพื่อเป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิตต่อไป
มองเพียงแค่นี้ก็จะเห็นได้ว่าการพระราชทานปริญญาบัตรที่หลายคนไม่เห็นความสำคัญนั้นพระองค์ทรงถือเป็นหน้าที่สำคัญและทรงปฏิบัติต่อเนื่องกันมาตลอดทั้งนี้เพื่อให้บัณฑิตมีความภูมิใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของชาติหรือเชื้อพระวงค์ที่ทรงมอบหมายให้เป็นตัวแทนของพระองค์จะได้เป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีและสร้างสิ่งดีงามให้สังคมและประเทศชาติสืบต่อไป
ผมขอให้บัณฑิตทุกคนที่มีโอกาสเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรคิดทบทวนให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจไม่เข้าร่วมพิธีที่ดีงามเช่นนี้เพราะโอกาสแบบนี้คงมีไม่บ่อยในชีวิต
ในต่างประเทศนั้นส่วนใหญ่ไม่มีระบบพระมหากษัตริย์แล้วจึงต้องรับจากอธิการบดีของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันแทนในบางประเทศที่ยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแต่ก็ไม่มีประเพณีที่ดีงามเหมือนอย่างประเทศไทยของเราที่ยังคงรักษาความดีงามแบบนี้ให้ยั่งยืนสืบไปแม้ว่าอาจจะมีแต่ในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลกผมก็ถือเป็นความภูมิใจที่เรามีสถาบันกษัตริย์อยู่คู่กับแผ่นดินไทยคอยปกป้องคุ้มครองให้พสกนิกรชาวไทยอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
ผมขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตทุกคนไม่ว่าท่านจะจบการศึกษาจากสถาบันใดและจะเข้าร่วมในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรหรือไม่ก็ตามขอให้ท่านนำความรู้ที่ได้รับไปทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างมีคุณภาพและคุณธรรมสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับโลกของเราให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น“บัณฑิต”แล้วทุกคน
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”