บรรยากาศการเมืองท้องถิ่นเริ่มขึ้นแล้วหลังจากเราว่างเว้นการเลือกตั้งในทุกระดับมาเป็นเวลาอันยาวนาน ร่วม 7 ปี หลังจากมีการรัฐประหาร เมื่อ 22 พ.ค. 2557 ทำให้ผู้บริหารองค์กรการปกครองต่างๆ ในทุกจังหวัดเป็นเพียงผู้รักษาการแทนเท่านั้น
การประกาศรับสมัครรับเลือกตั้งผู้จะเป็นสมาชิกสภาจังหวัด(สจ.)และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ซึ่งกกต.ได้ประกาศในวันที่ 26 ต.ค. 2563 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 2-6 พ.ย. 63 ก็คงได้ทราบกันแล้วว่าใครเป็นใครในแต่ละจังหวัด รวมทั้งเชียงรายด้วยซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 20 ธ.ค. 63 หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ในครั้งนี้เชื่อว่าจะเข้มข้นมากกว่าเดิมเพราะมีพรรคการเมืองหลายพรรคที่เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนในการคัดเลือกเพื่อให้เป็นตัวแทนของพรรคอันหมายถึงสายสัมพันธ์ที่จะเป็นฐานเสียงไปสู่การเมืองในระดับชาติต่อไป…ว่าไปแล้วก็มิใช่เรื่องใหม่ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้มาตลอดทั้งทางตรงและอ้อม
สิ่งที่สำคัญก็คือการเลือกตั้งครั้งนี้ “การเมืองระดับชาติ” อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นตัว “กระตุ้น เร่งเร้า เติมปุ๋ย พรวนดิน” ให้ประชาชนทั่วไปหันกลับมาให้ความสนใจกันมากขึ้นกว่าเดิมมากขึ้นโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่และเยาวชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยมี “ม็อบการเมือง” เป็นตัวกลางในการปลุกแนวคิดที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ก่อนมีโควิด-19 จนถึงวันนี้ ผู้ที่สนใจข่าวสารบ้านเมืองคงรู้แล้วว่า “อะไร คืออะไร และจะมีจุดจบอย่างไร” เพราะทุกอย่างเมื่อมีการเริ่มต้นแล้วก็ต้องมีจุดจบเป็นธรรมดานั่นเอง
การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีความเข้มข้นมากขึ้นก็ตรงที่ว่า “คนรุ่นใหม่” และหรือคนรุ่นเจนฯ y และ z จะมีบทบาททางการเมืองมากที่สุด และมีแนวคิดใหม่ต้องการประชาธิปไตยมากกว่าเดิม เนื่องจากเขาเหล่านี้จะเกิดมาพร้อมความเจริญด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงความรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีวิจารณญาณไม่แพ้คนรุ่นอื่นๆ ด้วยค่านิยมทันสมัยแม้จะเป็นคนที่อาบน้ำร้อนทีหลังของผู้ใหญ่ที่อ้างตนเองว่าเกิดมาก่อนและมีประสบการณ์กว่า… แต่บางครั้งประสบการณ์เหล่านั้นก็อาจตกยุคไปแล้ว…
วิธีคิด…การประเมินเหตุการณ์ล่วงหน้า วิธีการสื่อสาร เทคนิค…กลยุทธ์ต่างๆ ในการวางแผนและการตัดสินใจที่ใช้เทคโนโลยียุคใหม่เป็นไปอย่างที่ผู้ใหญ่ ผู้ปกครองทั้งหลายต้อง…เหวอ… และงุนงงกันมาแล้ว…ดูได้จากการนัดหมายและกลวิธีนัดหมายด้วยภาษาที่ สวิง สวาย ใช้รหัส และสร้าง “ศัพท์สแลง” ใหม่ๆขึ้นมาในการรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางการเมือง เช่น แกงเทโพ-บังเก้อ โป๊ะแตก จู๊ก ฯลฯ อีกทั้งสัญญาณมือ ทำเอาผู้เกี่ยวข้องหัวหมุนงุนงง ดักทางตามไม่ทัน… อีกทั้งยังเป็น “แฟลชม็อบ” (ดาวกระจาย มาเร็ว ไปเร็ว ไม่ปักหลักค้างคืน) สร้างสรรค์ มีวินัย ที่ใครๆ รู้จักว่าเป็นรูปแบบใหม่การประท้วงในยุคดิจิทัลนิวนอร์มอลที่มีนักเรียน นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ฯ เข้าร่วมเป็นส่วนใหญ่
จากการสำรวจพบว่า กลุ่มเจนฯ y เป็นกลุ่มใหญ่สุด 29 % ตามด้วยเจนฯ z = 28 % เจนฯ X = 22 % ส่วนเจนฯ เบบี้บูมเมอร์ (ผู้เกิดระหว่าง 2485-2507) ปัจจุบัน (2563) มีอายุมากว่า 60 – 80 ปี กลุ่มนี้ก็เหมือนอาทิตย์อัสดงไปเรื่อยๆ )
ก็เชื่อว่าในอนาคตอีกราว 10 – 15 ปี ข้างหน้าคนกลุ่มนี้ (เจนฯ X บางส่วน และ y-z)นี้แหละจะมาเป็นผู้บริหารประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีพลานุภาพในการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญในด้านต่างๆ…!!
สำหรับการเมืองของไทย ที่มีความขัดแย้งทางความคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและเข้มข้นมาตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา…จนถึงวันนี้ ผลปรากฏอย่างไร…และจบลงอย่างไร..?
ทุกๆ คนคงทราบกันแล้ว…!!!??
…………………………………………………
หันมามองการเมืองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาบ้าง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ระบบพรรคการเมืองของสหรัฐฯ เป็นแบบ ระบบ 2 พรรค หลัก คือ พรรคพรรครีพับลิกัน และ พรรคเดโมแครต ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กับ โจ ไบเดน ต่างมีนโยบายในการบริหารประเทศค่อนข้างมีความแน่นอนและมั่นคง
จะเป็นใคร ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกัน เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม บางครั้งเรียก Grand Old Party หรือ GOP ที่อยากเป็นสมัยที่ 2 มีฐานเสียงของพรรคอยู่ตามเขตชนบทเป็นส่วนใหญ่ (อดีตผู้นำสหรัฐฯจากพรรคนี้ เช่น จอร์จ ดับเบิลยู บุช, โรนัลด์ เรแกน และ ริชาร์ด นิกสัน) กับ โจ ไบเดน พรรคเดโมแครต เป็นพรรคเสรีนิยม มีฐานเสียงของพรรคอยู่ตามเขตเมืองเป็นส่วนใหญ่ (อดีตผู้นำสหรัฐฯพรรคนี้ เช่น จอห์น เอฟ เคเนดี,บิล คลินตัน และ บารัก โอบามา) โดยมีเลือกตั้งทั่วไปทุกๆ 4 ปี ในปีนี้คือ วันที่ 3 พ.ย. 63
ใครที่ได้เป็น ประธานาธิบดี คนที่ 43 ของสหรัฐฯก็ตาม โลกกำลังให้ความสำคัญกับความบทบาทของมหาอำนาจจีน…ว่าจะมีท่าทีอย่างไรแต่ที่แน่ๆ คือ…จะมีผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ South East Asia แน่นอน…!!?
