วันศุกร์, 7 พฤศจิกายน 2568

เมื่อเราเริ่มเข้าถึงการปฏิบัติพระกรรมฐาน

07 พ.ย. 2025
7

หากพูดถึงกรรมฐานในทางพุทธศาสนาแล้ว ท่านจะแบ่งออกเป็นสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการปฏิบัติที่กลับขั้วกันเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อปฏิบัติไปแล้วจำเป็นต้องเกื้อกูลต่อกัน ญาณ จึงจะเกิดขึ้นได้ คือการรู้แจ้งเห็นธรรมในระดับญาณทัศนะ ที่เมื่อถึงแล้วสามารถยืนยันตัวเองได้โดยไม่ต้องไปถามใครอีก

กรรมฐาน คือ ฐานที่ตั้งของการกระทำ ในการปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติทางจิต ดังนั้น กรรมฐานจึงหมายถึงฐานที่ตั้งของจิตนั่นเอง ฐานของจิตคือจุดเริ่มของการเข้าถึงภายในของจิต การจะเข้าถึงภายในของจิตได้ ต้องตั้งต้นด้วยการทำกรรมฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แนวทางคือสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

สมถกรรมฐาน คือการเข้าถึงฐานของจิตด้วยการเจริญภาวนาให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว เมื่อตั้งองค์กรรมฐานใดไว้ เช่นการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ก็ทำความรู้อยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น อารมณ์อื่นใดเข้ามารบกวน ต้องตัดทิ้งให้หมด หรือถ้าดูอสุภ เรียกว่าอสุภกรรมฐาน นี่ก็กำหนดรู้แค่ภาพซากศพที่ตั้งเป็นองค์กรรมฐานเท่านั้น หรืออีกหลายวิธีในกรรมฐาน 40 นี่ล้วนเป็นสมถะทั้งสิ้น แต่การทำสมถะแต่อย่างเดียวโดยไม่นำความรู้ในชีวิตมาพิจารณาร่วมด้วยก็จะได้แค่กำลังของจิต แต่ขาดปัญญาที่จำให้รู้แจ้งได้

ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน นี่จะเริ่มจากการคิด เป็นการพิจารณาความเป็นจริงของชีวิต ผู้ที่จะสามารถเริ่มจากวิปัสสนาโดยไม่ต้องทำสมถะก่อนนี่ต้องเป็นผู้ที่มีสมาธิตั้งมั่นเป็นธรรมชาติอยู่ก่อนแล้วจึงจะสามารถเริ่มจากจุดนี้ได้ แต่ด้วยธรรมชาติของสมาธิมีมาแต่เดิมนี้ยังมีความเข้มข้นของจิตไม่พอให้เกิดญาณทัศนะได้ จึงต้องทำสมถกรรมฐานเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้จิตมีความเข้มข้นของพลังมากขึ้นจนถึงระดับลึกๆเข้าไปก่อนจึงจะมีญาณทัศนะเกิดขึ้นได้

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเริ่มฝึกจากหนทางไหน สุดท้ายก็ต้องนพทั้งสองแนวทางมาชาวยเกื้อกูลซึ่งกันและกันอยู่นั่นเอง ซึ่งวันนี้ จะนำเรื่องของการเริ่มปฏิบัติด้วยการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือเรียกอีกอย่างว่าปฏิบัติในแนวอานาปานสติมาเล่าสู่กันฟัง

สำหรับท่านที่กำลังเริ่มทำอานาปานสติหรือการกำหนดรู้ลมหายใจและยังงงๆอยู่ว่าจะวางใจอย่างไร ลองมาพิจารณาแบบผู้เขียนดูก็ได้เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง อันดับแรกมาดูจิตก่อนว่าตั้งไว้อย่างไร สูงไปไหมหรือต่ำไป โดยมากพอตั้งใจจะทำกรรมฐานแน่นอนว่าต้องตั้งความมุ่งหวังไว้ว่าจะต้องตั้งท่าเคร่งขรึมเอาไว้ก่อน นั่นไม่เป็นไรเป็นเรื่องปกติ ต่อไป หาดูว่าปกติเราวางใจไว้ที่ไหน คือที่ชอบๆของใจเช่นเวลาเผลอๆแล้วรู้ตัวว่าเผลอตอนนั้นจิตอยู่ที่ไหน โดยมากก็จะอยู่ที่เราเรียนรู้มาว่าหน้าอกคือที่อยู่ของหัวใจ นั่นละค่ะ ให้วางใจ คือความรู้สึกกำหนดไว้ที่นั่น นี่คือฐานของจิตที่เราจะวางกำลังของใจไว้ที่นี่ ทุกครั้งที่ทำก็กำหนดตัวรู้ไว้ที่นี่ ให้รู้ว่าใจหรือจิตเราอยู่ที่นี่ เมื่อได้ที่ตั้งของจิตแล้วกลับมาดูจิตตอนที่เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจก็จะเห็นว่าเราตั้งจิตไว้สูงจัง ไม่เป็นไรปล่อยไว้ก่อน จากนั้นจึงไล่ลมหายใจออกช้าๆจนสุดกำลังลม แล้วจึงหายใจเข้าช้าๆจนเต็มกำลังลม ทำอย่างนี้สัก 2 – 3 ครั้ง แล้วจึงวางใจไว้ที่ฐานที่เราเลือกไว้ จากนี้จึงกำหนดลมผ่อนสั้นยาวตามความสบายของกาย จากฐานนี้จึงตามดูลมหายใจเข้าออกโดยจะมีคำภาวนาหรือไม่ก็ได้ตามความชอบใจ แต่ผู้เขียนจะใช้คำว่า พุท หายใจเข้า โธ หายใจออกเพราะกำกับสติรู้ตามได้ง่ายกว่า ทั้งยังช่วยตามดูคุณภาพของจิตได้ดีกว่าด้วย

เมื่อเราเริ่มตามดูลมหายใจที่ถูกประกบด้วยคำว่าพุทโธด้วยนั้น เราจะเห็นความไม่ลงรอยของอาการทั้งสองนี้อย่างชัดเจน คือลมหายใจก็อยู่ทาง คำภาวนาก็อยู่ทาง แถมจิตก็เหมือนจะอยู่สูงกว่าฐานอีก ยิ่งเพิ่มความขัดข้องเข้าไปอีก ทีนี้กำหนดที่จิต กำหนดวางความรู้สึกที่อยู่เหนือฐานนั้นให้ค่อยๆลดที่ตั้งลงไปที่ฐานจิต โดยค่อยๆกำหนดรู้วางลงๆคู่กับลมหายใจเข้าออกจนรู้สึกวางที่ฐานจิตได้ จะเห็นความผ่อนคลายของจิตดีขึ้น ตามลำดับความขัดข้องเริ่มหายไป ก็กำหนดตามรู้เรื่อยๆ แรกๆลมหายใจจะยังหยาบอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลไป จนกว่าวิตก วิจารณ์จะเริ่มได้ที่ หรือถ้าจิตหนีไปพักในภวังค์ ภวังค์เป็นอาการที่เหมือนจะหลับ เหมือนจะหายไป อาจจะแค่วับเดียวถ้าสติแข็งแรงพอ หรืออาจจะเผลอลงหลับไปเลยก็มี ก็ไม่เป็นไร เอาใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ เมื่อสติกลับมาก็ตั้งต้นใหม่ ค่อยสะสมไปอย่างนี้ จนเกิดปิติ เกิดสุขขึ้นมา เหล่านี้ก็จะเป็นเครื่องแสดงให้รู้ว่าจิตเริ่มเข้าที่แล้ว ความสงบเข้ามาแทนที่ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆบ้างแล้ว

อาการจิตหนีลงภวังค์ คืออาการแสดงว่าจิตเริ่มเข้าถึงความสงบแล้ว แต่ด้วยกำลังของจิตที่ยังอ่อนอยู่จึงไม่สามารถเข้าถึงฐานภายในของจิตได้ จึงหนีไปพักบ้าง หนีไปเที่ยวบ้าง การหนีไปพักก็คือการหลับไปในระหว่างการทำกรรมฐานนั่นเอง จะมีความรู้สึกเหมือนเคลิ้ม เหมือนฝัน สะลืม สะลือ หรือหนักขึ้นก็หนีเข้าไปหลับเสียเลย นี่สำหรับผู้ที่หนักไปทางโมหะจริต หรือบางรายก็หนีไปเที่ยว ประเภทนี้จะรู้สึกว่าตัวเองไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง หรือไปเห็นนรก สวรรค์ไปเลยก็มี นี่เรียกว่านิมิตลวง การเห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นยังไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงจิตสนองความอยากของเจ้าของที่มีความอยากรู้ อยากเห็นก็เลยพาเตลิดเสียเลย

อาการเหล่านี้ เป็นเพียงอาการของจิตที่เริ่มมีสมาธิดีขึ้นบ้างแล้ว สามารถตัดความฟุ้งซ่านได้แล้ว แต่ด้วยการฝึกฝนที่ยังไม่เข้มแข็งพอจึงพาให้เป็นไปต่างๆ ซึ่งจะค่อยบอกกล่าวต่อไป อาการเหล่านี้อาจมีขึ้นระยะหนึ่งหากผู้ฝึกมาความขยันทำไม่ขาดตอนและไม่ให้ความสำคัญกับอาการเหล่านี้ก็จะผ่านโดยง่าย แต่บางรายอาจติดอยู่นานเพราะหลงไปยึดว่าตนได้ของดี ที่สุดก็จะพาเตลิดเข้ารกเข้าพงไปเลยก็มี เพราะเหล่านี้หากรู้ไม่ทัน มันก็คือกับดักนักปฏิบัติไม่ให้มีความก้าวหน้านั่นเอง แต่หากผ่าน เขาก็จะเข้าถึงฐานจิตหรือปฐมฌานได้ในที่สุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า