มีคำถามด้วยความงุนงงว่าคำสอนในศาสนาพุทธมีการแบ่งแยกด้วยหรือ เจอคำถามนี้ถึงกับอึ้งว่า ยังมีคนเข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรมในแต่ละแนวทางว่าเป็นการแบ่งแยกคำสอนอยู่ด้วยหรือ
คงต้องทำความเข้าใจว่า ในหลักของคำสอนนั้นไม่มีความแตกต่าง แก่นคำสอนเรื่อง ให้ทำความดี ให้ละชั่ว ให้ทำจิตใจให้ผ่องใส บริสุทธิ์หมดจด จากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ด้วยทาน ศีล ภาวนา นี่ยังอยู่ครบไม่แตกต่าง มีความเชื่อว่าชาติหน้ามี นรกมี สวรรค์ พรหม มี นิพพานมี นี้คือเบื้องต้นที่พุทธสาวกจะพึงทำตาม และนำมาปฏิบัติ เรียกว่าเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ นี่คือข้องแรกในอริยมรรค
แต่เมื่อเข้าถึงการปฏิบัติในระดับของการให้ทาน รักษาศีล นี่ยังคงต้องปฏิบัติด้วยเชื่อว่า ทานนัง สัคคะโส ทานมีอานิสงส์ให้เข้าถึงสวรรค์ได้โดยง่าย สีลัง นิพุติงยันติ ศีลมีอานิสงส์ปิดนรกได้ เป็นหนทางให้เกิดการภาวนา อันเป็นหนทางให้เกิดปัญญาที่จะพาให้พ้นทุกข์ได้จริงนี่ก็ไม่มีความแตกต่างกันเลย
เพียงแต่ระดับของการภาวนานั้น มีหลายแนวทางให้เลือกปฏิบัติ เช่นมีการทำเพื่อถึงความสงบตั้งมั่นของจิต เพื่อนำกำลังของความตั้งมั่นนี้ มาพิจารณาให้เกิดปัญญาเห็นจริงตามคำสอนในเรื่องของการเวียนว่าย ตายเกิดในภพภูมิต่างๆ อันไม่มีที่สิ้นสุดนั้นมันคือทุกข์ที่ไม่รู้จบสิ้น จนมองเห็นทางว่าต้องตัดที่ไม่ต้องกลับมาเวียนตาย เวียนเกิดนี้อีกด้วยการละวางความยึดมั่นในภพภูมิทั้งหลายเสีย เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก
ซึ่งในระดับนี้เอง ที่มีหนทางในการปฏิบัติให้เลือกปฏิบัติตามอัชฌาสัยของตน ซึ่งมีแนวทางในการปฏิบัติอยู่ 2 แนวทางใหญ่ คือสมถกรรม และวิปัสสนากรรมฐานซึ่งครูบาอาจารย์บางท่านก็จะเรียกผู้ปฏิบัติในสายสมถกรรมฐานว่า สมถยานิก คือผู้เข้าถึงธรรมด้วยการทำสมถกรรมฐาน และเรียกว่าปฏิบัติในสายวิปัสสนาว่าวิปัสสนายานิก อย่างนี้เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะปฏิบัติมาในสายไหนสุดท้ายก็มาลงในที่เดียวกันคือเห็นอริยสัจสี่คือเห็นทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เห็นต้นเหตุที่ทำให้ต้องมาเวียนว่ายไปในภพต่างๆทั้ง 31 ภพภูมิ รับสุข รับทุกข์ชดใช้กันไปมาไม่รู้สิ้นนี้ แล้วเห็นหนทางดับทุกข์นี้ด้วยอริยมรรค เมื่อปฏิบัติตามจนเห็นไตรลักษณ์ว่าล้วนไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตน ของตนได้ เหตุเพราะความยึดมั่นในตัวตนจึงเกิดกิเลสมากมาย จึงหันมาขัดเกลากิเลสยึดติดทั้งหลายได้แล้วหมดจดแล้ว ก็จบกิจ คือไม่มีสิ่งใดต้องทำอีก นั่นคือไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป คือนิพพานนั่นเอง
การที่กล่าวว่าคนละสายการปฏิบัติ นั่นหมายความว่าถ้าเคยปฏิบัติในหนทางไหนได้ผลดีแล้วก็ให้ถือปฏิบัติตามหนทางนั้นไปให้ถึงที่สุดของคำสอนคือ เห็นความจริงของชีวิตด้วยการพิจารณากายใจตนจากการทำแบบไหน บางท่านเริ่มต้นพิจารณากายด้วยการทำสมถะกรรมฐานก็จะนำกรรมฐานที่เกี่ยวกับการเห็นความจริงของกายด้วยลมหายใจในอานาปนสติกรรมฐาน นี้แบบหนึ่ง หรือเริ่มจากการพิจารณาซากศพจนได้อสุภนิมิตแล้วนำมาพิจารณาตน นี่ก็ทางหนึ่ง ซึ่งในแนวทางของสมถกรรมฐานนี้มีถึง 40 แบบด้วยกัน ก็จะไม่นำมากล่าวเพราะจะมากเกินไป ส่วนในสายวิปัสสนาก็จะเริ่มจากการตามดู ตามรู้กายใจตนจาก อริยาบถบ้าง จากการกรเพื่อมของใจบ้าง จากความไม่แน่นอนของกายใจในรูปแบบต่างๆบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าผู้ฝึกจะไปชื่นชอบในหนทางใด
การเลือกหนทางปฏิบัติสำหรับตน จึงไม่ใช่เพื่อเป็นการแบ่งแยกคำสอนของพระพุทธศาสนา ยิ่งไม่ใช่เพื่อความเด่นดังแต่ประการใด แต่เพราะจริตนิสัยและบุพกรรมของแต่ละคนล้วนมีที่ไป ที่มาที่ต่างกัน รวมถึงการสั่งสมบารมีมาต่างกัน การปฏิบัติจึงต้องให้ตรงกับจริตนิสัยของตนซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงความหลุดพ้นได้อย่างตั้งใจ
หากยังไม่หมดสงสัยก็จะขออ้างถึงคำสอนที่มีมากมายถึง 84000 พระธรรมขันธ์ที่กล่าวถึงไว้ว่าคำสอนที่ทรงสอนไว้นั้นรวบรวมได้ถึง 84000 พระธรรมขันธ์ หากเราผู้ไม่รู้ แค่เห็นก็ท้อแล้วว่ามากมายขนาดนี้ แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรถึงจะทำครบได้ ต้องใช้เวลาถึงกี่ชาติถึงจะครบ นี่เพราะไม่รู้ แต่เมื่อศึกษาเข้าจริงแล้วไม่ว่าจะขันธ์ไหนสุดท้ายก็ลงที่กายกับใจของเราทั้งสิ้น เท่ากับเราจับเอาเฉพาะจุดมาแค่จุดเดียวแล้วปฏิบัติจริงก็สามารถได้ดวงตาเห็นธรรมได้
นี่คือความมหัศจรรย์ของคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมกับที่กล่าวว่า งามในเบื้องต้น งามในเบื้อกลาง งามในที่สุด คือไม่ว่าจะปฏิบัติในระดับไหนล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านได้ทั้งสิ้น ดังนั้น พึงอย่าคิดว่าผู้ปฏิบัติเลือกปฏิบัติเพื่อความเด่น ความดังเลย เพราะสำหรับผู้ปฏิบัติจริง มีเพียงเพื่อการสลัดทิ้งสิ่งแปลกปลอมคือกิเลสทั้งหลายออกจากตนทั่งสิ้น จะมาพอกพูนสมบัติโลกไปเพื่อสิ่งใดอีก