- ความคาดหวังต่อปัญหาในอนาคต
สาระสำคัญของประเด็นคำถามนี้ ต้องการให้ผู้สูงอายุประเมินปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในวันข้างหน้า ถ้าตนเองมีอายุสูงขึ้นไปกว่านี้ โดยตั้งคำถามว่า “ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าวันหนึ่งอายุของท่านมากขึ้นอาจสร้างปัญหาต่อครอบครัวได้ อะไรคือสาเหตุนั้น และมีวิธีป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาได้อย่างไร” รากฐานหรือเหตุผลที่ถามหัวข้อนี้ก็คือ ต้องการทราบว่าผู้สูงอายุคิดอย่างไรต่ออนาคตของตนเอง ถ้าหากมีอายุมากขึ้นๆ เพราะการที่เป็นผู้สูงอายุในขณะนี้ก็นับว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสื่อมทั้งรายกายและจิตใจอยู่แล้วหากมีอายุสูงขึ้นไปอีก ผู้สูงอายุได้คาดหวังว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปโดยเฉพาะปัญหาที่จะเกิดขึ้นในครอบครัว ปัญหาเรื่องอะไร และจะมีวิธีป้องกันแก้ไขได้อย่างไร
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ เชื่อว่าอาจมีปัญหาเกิดขึ้นถ้ามีอายุสูงขึ้นไปกว่านี้ มีเพียงส่วนน้อยที่ได้สัมภาษณ์ที่ตอบว่าไม่สร้างปัญหาแก่ครอบครัว ส่วนผู้สูงอายุกลุ่มอื่นไม่แน่ใจว่าจะเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่
ผู้สูงอายุที่ให้คำตอบว่าจะเป็นปัญหาได้แสดงความคิดเห็นและมีเหตุผลสนับสนุนดังประเด็นต่างๆ ของสาเหตุของปัญหาดังนี้
- ความเสื่อมโทรมของสุขภาพ ถ้าหากสภาพร่างกายเสื่อมลงไปมากกว่าปัจจุบันจนทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเองจะเป็นภาระของลูกหลานที่ต้องเอาใจใส่ดูแล จะเป็นปัญหาของครอบครัว เพราะบุตรหลานต้องเสียเวลาทำมาหากินมาดูแล ผู้สูงอายุบางคนที่มีสุขภาพไม่ดีอยู่แล้วได้แสดงความคิดเห็นว่าขณะนี้ก็เป็นปัญหาอยู่แล้วเพราะไม่สามารถทำนาช่วยลูกได้ เวลาเจ็บป่วยลูกๆ ต้องดูแลเอาใจใส่ แต่ยังคงไปไหนมาไหนได้ หากอายุมากขึ้นกว่านี้ เช่น เดินไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ จะเป็นปัญหามากขึ้นแน่นอน ผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านสุขภาพจะตอบทำนองเดียวกันว่าปัจจุบันก็กำลังประสบปัญหาอยู่ ยิ่งถ้าอายุมากกว่านี้คงจะต้องเผชิญปัญหามากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ความเจ็บป่วย ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวและเจ็บป่วยบ่อยๆ จะมีความมั่นใจว่าเมื่ออายุสูงมากขึ้นจะเป็นปัญหามากกว่าปัจจุบัน ลำพังการเป็นผู้สูงอายุก็มีสุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว ถ้ามีโรคประจำตัวยิ่งเป็นการสร้างปัญหามากขึ้น เพราะต้องอาศัยลูกหลานดูแล จะเดือดร้อนไปหมดเพราะทุกคนกำลังอยู่วัยทำงาน ไม่มีเวลามานั่งเฝ้าดูแล พาไปโรงพยาบาล พาไปวัด ซึ่งบางครั้งก็เกรงใจลูกหลานอยู่ในทุกวันนี้ เพราะจะต้องหุงหาอาหารเลี้ยง ต้องทำงานหาเงิน หากอายุมากกว่านี้เช่นถึงกับต้องนอนซม จะเพิ่มปัญหาแก่ครอบครัวขึ้นอีกหลายเท่า
สาเหตุที่ผู้สูงอายุได้แสดงความคิดเห็นมาดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่าจะสร้างปัญหาแก่ครอบครัวได้ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เคยคิดและวิตกว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า ตนจะต้องพบกับปัญหาดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคณะผู้วิจัยได้ถามประเด็นนี้ จึงตรงกับความรู้สึกของผู้สูงอายุที่เคยคิดและ/หรือกำลังคิดอยู่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะต้องเผชิญอุปสรรคปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น หากลุกไม่ได้ เดินไม่ได้ หูตาฝ้าฟาง จะต้องพึ่งพาลูกหลานช่วยเหลือตลอดเวลา ผู้สูงอายุยังคาดหวังต่อไปอีกว่าปัญหาที่จะตามมาไม่เพียงทำความเดือดร้อนสร้างปัญหาให้แก่ลูกหลานเพราะจะต้องทนลำบากและเป็นภาระ ลูกหลานคงเบื่อ คงรำคาญ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากคงจะทำงานไม่ได้ ไม่มีรายได้ ลูกหลานจะต้องดูแลทั้งสุขภาพร่างกาย หุงหาอาหาร และต้องช่วยเหลือเรื่องเงินทอง ผู้สูงอายุเชื่อว่า การที่เป็นเช่นนี้จะมีผลติดตามมาคืออาจกลายเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ลูกหลานเกิดความเบื่อหน่าย รำคาญที่ต้องทนรับฟัง เพราะเมื่อแก่ตัวมากขึ้นอาจมีนิสัยและพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากผู้สูงอายุจะอึดอัดใจเพราะทำงานไม่ได้ นอกจากนี้ผู้สูงอายุบางคนเชื่อว่าการขัดสนเงินทองอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งเพราะลูกหลานต้องมีภาระและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งค่าเลี้ยงดู ค่ารักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้ามีสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยและยากจน
สำหรับผู้สูงอายุที่ตอบว่าไม่เป็นปัญหาต่อครอบครัว มีความคิดเห็นว่าการจะเป็นปัญหาหรือไม่นั้นอยู่ที่การประเมินของลูกหลาน แต่ถ้าหากมีสมบัติให้ลูกหลานไว้ใช้ ลูกหลานก็คงจะดูแลเป็นอย่างดี ถ้าไม่ดูแลก็ไม่ให้ทรัพย์สมบัติ การจะสร้างปัญหาให้แก่ครอบครัวที่สำคัญที่สุดก็คือ ปัญหาความเจ็บป่วย แต่การมีลูกหลานหลายๆคน ลูกหลานคงจะช่วยกันดูแล อาจไม่มีปัญหาก็ได้เพราะเชื่อว่าหน้าที่ของลูกก็คือการดูแลพ่อแม่ แม้จะนอนป่วยเป็นอัมพาต ลุกไม่ขึ้น ส่วนใครจะดูแลนั้นไม่ทราบ แต่เชื่อว่าต้องมีใครสักคนที่จะดูแลตนได้
ผู้สูงอายุที่ตอบในทำนองเดียวกันนี้ ได้ยกตัวอย่างชีวิตที่เป็นจริงว่าจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันลูกหลานได้ปรนนิบัติดีอยู่แล้วเชื่อว่าลูกหลานก็คงจะทำอย่างเดียวกันนี้ต่อไป การคาดหวังเช่นนี้จึงไม่เลื่อนลอย แต่เชื่อมั่นว่าจะไม่มีใครทอดทิ้ง เพราะลูกทุกคนเป็นคนดีให้ความสนใจไม่ขาดตกบกพร่อง ผู้สูงอายุบางคนแม้จะเชื่อว่าลูกหลานจะดูแลแต่ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าอายุ 80 ปี 90 ปีขึ้นไป คงจะสร้างปัญหาได้เหมือนกัน ส่วนผู้ที่ให้เหตุผลอื่นๆ คือ ไม่อยากอยู่นานจึงไม่อยากคิดเรื่องนี้ และบางคนก็ไม่เคยคิดว่าเป็นปัญหา ไม่มีความคิดเห็น ทุกวันนี้อยู่ไปวันๆ ไม่อยากคิดถึงอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น
สำหรับแนวทางการป้องกันและแก้ไขนั้นแม้ว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่คาดหวังว่าในอนาคตเมื่อมีอายุสูงมากขึ้นจะเป็นปัญหาต่อครอบครัว แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีวิธีการป้องกันแก้ไขได้ ทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นสิ่งที่หลีกเลี้ยงไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ หรือปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมให้มีปัญหาเกิดขึ้นมาเสียก่อน ค่อยคิดแก้ไข ส่วนการจะป้องกันนั้นควรปฏิบัติได้ดังนี้
- ต้องเตรียมสร้างหลักฐานให้มั่นคง เก็บเงินเก็บทองไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า เพราะถ้าได้มีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าด้านทรัพย์สินเงินทอง ก็จะสามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในยามทุกข์ยากได้
- ต้องมีความประพฤติดีให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกหลาน รักลูกหลาน มีความเป็นธรรม ให้ทรัพย์สินเงินทองแก่ลูกๆ เมื่อยากแก่เฒ่าลูกจะได้ปรนนิบัติ
- ต้องดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรง พยายามหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วย เพร้าเจ็บป่วยจะเป็นภาระแก่ลูกหลาน
- ต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง มีความอดทน ยอมรับสภาพความเป็นจริง ไม่คิดมาก วางเฉย และกล้าเผชิญกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น
- ต้องยึดธรรมะ ปล่อยวาง ไม่หวังอะไรมาก
- ต้องไม่ดุด่าว่ากล่าวลูกมาก ต้องประพฤติตนไปในทางเหมาะสม ไม่พูดมาก อย่างขอร้อง หรือรบกวนลูกหลานมากเกินไป
- ต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ช่วยแรงงานในบ้านเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดภาระลูกหลาน และทำตัวให้เพลิดเพลินในชีวิตประจำวัน
- ต้องทำตัวไม่จู้จี้ขี้บ่นจนเป็นที่รำคาญแก่ลูกหลาน
- ต้องทำบุญ ทำกุศล จะทำให้จิตใจเบิกบาน มีความสบายในอยู่เสมอ
- ต้องพยายามไม่สร้างปัญหาให้ลูกหลานเดือดร้อน
นอกจากประเด็นหลักๆ เหล่านี้ ผู้สูงอายุบางคนตอบว่าทุกวันนี้เหมือนรอวันตายบ้างหรืออาจฆ่าตัวตายบ้าง เพื่อจะไม่ทำให้ลูกหลานเดือดร้อนไปมากกว่านี้ ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ในอนาคต