วันที่สสจ.ยะลาพาไปรายงานตัวกับผวจ.นายมนตรี ตะหง่าน พอรู้ว่าผมเป็นคนเหนือและจะไปอยู่รพ.เบตงท่านหัวเราะและบอกว่าหมอจะไปเจอคนบ้านเดียวกันเยอะเลย ทีแรกผมนึกว่าท่านพูดเล่น ปรากฏว่าเบตงเป็นเมืองชายแดนจึงมีสาวเหนือมาขายบริการมากมาย
เบตงอยู่ห่างจากยะลาไม่ถึง 200 กม. แต่เส้นทางวกวนผ่านภูเขาหลายลูกจึงใช้เวลานานกว่า 3 ชม. สมัยนั้นแท็กซี่จะเป็นรถเบนซ์รุ่นหางปลานั่งเบียดกันเต็มที่ 7 คน ก่อนขึ้นรถคนขับจะแจกถุงพลาสติคให้ผู้โดยสารทุกคนเอาไว้ใช้เวลาอาเจียน(เกือบทุกคนจะอาเจียน)
ช่วงนั้นเบตงจะสงบปราศจากโจรแขก (ขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดน)แต่เป็นเขตุอิทธิพลของโจรจีน(คอมมิวนิสต์มาลายู) โจรจีนเหล่านี้มีอุดมการทางการเมืองฝักไฝ่เมาเซตุง จะออกปฏิบัติการในพื้นที่ประเทศมาเลเซียแล้วกลับมากบดานอยู่ฝั่งไทยที่เบตง มีการขุดอุโมงเป็นที่อยู่อาศัย และที่ทำการอยู่ในป่าลึก
ต่อมาภายหลัง รัฐบาลไทยอนุญาตให้ทหารมาเลเซียเข้ามาปราบปรามได้ 3ทุ่มจะเห็นรถถังรถหุ้มเกาะ ผ่านด่านไทยเข้ามาปฏิบัติการที่เบตง เช้าก็กลับออกไป จึงทำให้กลุ่มโจรจีนถูกลายสูญหายไปในที่สุด กลุ่มโจรแขกจึงเข้ามาเบตงได้
ในสมัยนั้นกลุ่มโจรแขกจะอาละวาดอยู่ระหว่างเส้นทางยะลา-เบตงแถวๆรามัน บันนังสตา บางครั้งจะยิงกราดลงมาจากบนเขาหรือตั้งด่านจี้รถแท็กซี่ ถ้าใครพูดภาษายาวีได้ก็ปล่อยตัวไปถ้าพูดไม่ได้ก็ยิงทิ้ง ตอนนั้นผมต้องหัดพูดชื่อที่อยู่เป็นภาษายาวี แต่ช่วงหลังพวกนี้รู้ทันใช้ให้อ่านคัมภีร์กูรอ่านแทนถ้าไม่ได้ก็ยิงทิ้ง
ในขณะนั้นเบตงมีคนจีนราว 80% ไทยมุสลิม 20% อยู่ร่วมกันอย่างสันติ รพ.เบตงขณะนั้นมีขนาด150 เตียงถือเป็นรพ.ทั่วไป มีแพทย์ประจำแล้ว 4 คน นพ.มนตรี เศรษฐบุตร เป็นผอ.ทุกคนสมัยนั้นซี 7 หมด มีผมเป็นน้องเล็กซี 4 สมัยนั้นเงินเดือน 2,700 บาท (ตอนเป็นแพทย์ฝึกหัด 2,400 บาท ค่าเวรเหมาจ่าย 400 บาทต่อเดือน อยู่เวรวันเว้นวันหรือเว้น 2 วันแล้วแต่แผนก) ที่รพ.เบตงได้ค่าเวร 150 บาท ทั้งคืนทั้งวัน ขณะนั้นผมตั้งใจว่าจะทำงานเป็นแพทย์อย่างเต็มที่ไม่เปิดคลินิก (แม้ว่าชาวบ้านจะขอร้องให้เปิดคลินิกที่ตลาดโดยไม่คิดค่าเช่าหลังจากเริ่มมีชื่อเสียงในการทุ่มเทให้กับการทำงาน) ผมชอบผ่าตัดจึงเดินราวน์วอร์ดวันละหลายๆครั้งเพื่อดูว่ามีคนไข้หนักที่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่ ผมดูแลคนไข้ทั้งรพ.ไม่เกี่ยงว่าเป็นคนไข้ของพี่ๆท่านใด ถ้ามีข้อบ่งชี้ต้องผ่าตัดผมจะแจ้งให้พี่หมอเจ้าของไข้มาดูคนไข้ด้วยกัน ถ้าจำเป็นต้องทำผ่าตัดเองผมจะขอเป็นศัลยแพทย์เอง ในช่วงเย็นพี่ๆที่อยู่เวรแต่ต้องไปคลินิกผมอาสาอยู่เวรให้โดยไม่เอาค่าตอบแทน จึงทำให้เป็นที่รักของพี่ๆทุกคน เวลาที่กลับบ้านหรือไปประชุมต่างจังหวัด พี่ๆจะให้pocket moneyหรือบรั่นดีไปด้วย
ช่วงแรกๆที่มาทำงานที่รพ.เบตง ผอ.สั่งให้ทำป้ายติดที่หน้าห้องตรวจของผมว่า
“หมอพิษณุ เป็นคนเหนือแต่กำเนิดจึงไม่สามารถพูดภาษายาวีได้” เนื่องจากมีคนไข้หลายคนร้องเรียนว่าผมเรียนหมอแล้วหยิ่งลืมกำพืดตัวเองไม่ยอมพูดภาษายาวี คงเป็นเพราะผมผิวคล้ำและผมหยิกหน้าตาเหมือนคนไทยมุสลิม ที่น่าขำคือมีหลายคนจะยกลูกสาวให้ทีละ 2-3 คน ทำเอาเกือบต้องเป็นเขยเบตงไปแล้ว
ผมมักบอกหมอรุ่นน้องๆว่าอยากให้ออกไปทำงานใช้ทุนในที่ที่ห่างไกล เวลา 2-3 ปี นั้นเร็วประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปแต่เราจะได้ประสบการณ์มากมาย อยากให้ทำงานทุ่มเทอย่างเต็มที่โดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทน
ผมไปรพ.เบตง ผอ.ให้เลือกว่าจะอยู่บ้านพักใกล้บ้านพักพยาบาลหรือบ้าน พักผอ. ผมรีบเลือกใกล้บ้านผอ.ด้วยเหตุผลจะได้ผูกท้องกับบ้านผอ.ด้วย ตั้งแต่วันแรกที่อยู่เบตงจนวันสุดท้ายผมทานข้าวเย็นที่บ้านผอ.ทุกวัน พร้อมน้ำมังสวิรัติยี่ห้อแบล็คเลเบล 4 วันขวด (ขวดใหญ่) เหล้าเหล่านี้นำเข้ามาจากฝั่งมาเลเซีย จึงมีราคาถูก ทำงานครบอาทิตย์แรกก็เกิดเหตุระเบิดในโรงหนังเบตง วันนั้นตอนเที่ยงคนงานมาตามผมที่บ้านพัก พอวิ่งไปถึงที่ER พบว่ากำลังชุลมุนวุ่นวายไปหมด พี่หมอท่านหนึ่งอยู่เวรกำลังพยายามทำcut downเด็กอายุราวสิบขวบ แต่ผมดูแล้วคงไม่รอดเพราะเนื้อสมองกระจายออกมาข้างนอกแล้ว เสียงโอดครวญเต็มไปหมด จำได้ว่าครั้งนั้นมีคนตาย 13 คน บาดเจ็บเกือบร้อย ผมอยู่ในห้องผ่าตัด2วัน2คืนกับ อ.นพ.เกรียงศักดิ์ ภู่พัฒน์ ผ่าตัดขาคนไข้ไปหลายคน จำได้ว่าวันนั้นโรงหนังฉายหนังเรื่อง”ไอ้หนุ่มซึงตึ้ง”
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผมจึงได้ค้นคว้าตำราเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุหมู่ (“mass casualty”) ผมเริ่มทำต้นคว้าตำราทำแผน “กุหลาบแดง” ให้รพ.เบตงไว้รับเหตุฉุกเฉินกรณีที่มีผู้บาดเจ็บคราวละมากๆ
ผมได้เรียนรู้อย่างมากมายจากพี่ๆแพทย์และพยาบาลทั้งในเรื่องการดูแลรักษาคนไข้ว่าต้องมีความมุ่งมั่นและการวางตัวในสังคม ผอ.ให้ผมเป็นสมาชิกโรตารี่กิติมศักดิ์(ไม่ต้องจ่ายเงินค่าสมาชิก)ร่วมประชุมทุกเดือนเพื่อจะได้รู้จักคนในวงการอื่นๆ จึงเป็นพื้นฐานให้ผมเข้าคนได้ง่ายจนถึงทุกวันนี้และได้มีโอกาสไปเยี่ยมสโมสรโรตารี่ เมืองอีโป มาเลเซียด้วย
เรื่องความมุ่งมั่นนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าใจว่าคนไข้นั้นไม่ตายง่ายๆถ้าเรามุ่งมั่นดูแลรักษาคนไข้จริงๆ มีเด็กฝาแฝดในตลาดอายุราว10ปีมานอนที่รพ.ด้วยอาการช็อคจากโรคไข้เลือดออก ซึ่งในขณะนั้นอัตราตายสูงมาก อ.พญ.นุจินต์ เศรษฐบุตรซึ่งเป็นหมอเด็กจากรพ.เด็ก ทุ่มเทเต็มที่ ผลัดกันเฝ้ากับผมทั้งคืน ทั้งๆที่เลือดออกเกือบทุกทวารแต่เราสามารถรักษาชีวิตได้ทั้งคู่ทำให้เป็นที่โจษจันกันทั่วเมือง ผมโชคดีที่ได้เห็นตัวอย่างของการเป็นผู้บริหารที่ดีจากอ.มนตรีซึ่งเป็นผอ.และการเป็นแพทย์ที่ดีของ อ.นุจินต์และอ.เกรียงศักดิ์ทำให้ผมพยายามเจริญรอยตามมาตลอด
เรื่องความมุ่งมั่นนั้นมีความสำคัญมากๆในการรักษาคนไข้ ผมอยากให้แพทย์รุ่นน้องๆหมั่นฝึกฝนตนเองให้มากเพราะความเป็นแพทย์ไม่ใช่เพียงแค่เรียนจบได้ปริญญา มีใบประกอบโรคศิลป์รับรองเท่านั้น
ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งมีคนไข้หญิงคนหนึ่งเป็นคนไทยมุสลิม อายุสามสิบปีเศษกำลังตั้งครรภ์ได้8เดือนกว่ามารพ.ด้วยอาการไข้สูง ไม่รู้สึกตัว ผมเจาะเลือดไปตรวจย้อมแลปดูเอง พบว่าเป็นเชื้อมาลาเรียชนิดPf. มีอัตราการติดเชื้อในเม็ดเลือดแดงสูงมาก จึงวินิจฉัยว่าเป็นมาลาเรียขึ้นสมองเนื่องจากมีอัตราการติดเชื้อในเม็ดเลือดแดงสูงมาก ตามตำราแพทย์บอกอัตรารอดชีวิตแทบไม่มีเลย ผมอ่านตำราอย่างละเอียดและรู้ว่ามักเสียชีวิตจากภาวะน้ำท่วมปอด ผมนอนเฝ้าคนไข้ที่วอร์ดเองเพื่อป้องกันไม่ให้ได้น้ำเกินจนถึงเที่ยงคืนทั้งที่ไม่ได้อยู่เวร คิดว่าน่าจะปลอดภัยถึงเช้า จึงกลับไปนอนที่บ้าน จนตีสามพยาบาลโทรฯตามว่าคนไข้ทำท่าจะหยุดหายใจ ผมรีบไปช่วยฟื้นคืนชีพ ใส่ท่อช่วยหายใจ คนไข้ไอออกมาเป็นฟองสีชมพูเต็มเสื้อของผม แสดงถึงอาการน้ำท่วมปอด ตามตำราบอก ผมทำการฟื้นคืนชีพคนไข้เป็นชม.แต่ไม่มีการตอบสนอง ก็ต้องยอมแพ้ ประกาศเวลาตายในที่สุด จำได้ว่าออกมา
นอกวอร์ดเจอลูกชายคนไข้อายุราว6ขวบ เข้ามากอดขาผมร้องไห้ ผมได้แต่บอกว่าเสียใจด้วยและบอกให้เรียนเก่งๆเป็นเด็กดีให้แม่ภูมิใจ(ไม่รู้ว่าจะฟังรู้เรื่องหรือไม่เพราะพูดไทยไม่ได้)
ขณะเดินกลับบ้านผมคิดและอธิษฐานตลอดทางว่าขอให้วิญญาณคนไข้ได้กลับมาบอกหน่อยว่าผมทำพลาดตรงไหน ทำไมยังเกิดน้ำท่วมปอดได้ ผมนอนอยู่ที่บ้านจนหลับถึงเช้า แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆที่จะมีวิญญาณคนไข้มาบอก จึงเชื่อว่าคนไข้คงจากไปสบายแล้ววิญญาณคงไม่มีจริง ทำให้ผมได้รู้ว่าคนไข้บางคนนั้นแม้เราจะทุ่มเทสักเพียงใดก็ไม่สามารถจะยื้อชีวิตไว้ได้ บางครั้งเราก็ต้องทำใจไว้เหมือนกันกับความผิดหวังที่จะพบได้ในชีวิตความเป็นหมอ
ทุกวันหลังมื้อเที่ยงที่โรงครัวผมจะไปพักอยู่ที่บ้านพี่อวยพรซึ่งเป็นพยาบาลและจะมีพยาบาลสาวๆที่สนิทกัน อีก 3 คน (วิรัตน์ ตุ๊ก และตุ๊) คุยแหย่เล่นกันช่วยให้ไม่เหงา ไม่คิดถึงบ้าน และทำให้ผมเข้าใจงานของพยาบาลมากขึ้น ผมชื่นชมและยกย่องพยาบาลเสมอว่าเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาคนไข้ แต่ก็เหมือนการปิดทองหลังพระคนไข้มักไม่เห็นความสำคัญเท่าใดผมจึงอยากให้บรรดาคุณหมอทั้งหลายให้เกียรติและยอมรับวิชาชีพพยาบาลจะทำให้การทำงานราบรื่นและจะเป็นผู้ช่วยที่แสนดีตลอดไป แพทย์จำนวนมากมีภรรยาเป็นพยาบาลแต่ก็น่าแปลกที่ไม่เคยมีลูกหมอเรียนพยาบาลเลย อาจเป็นเพราะงานหนักก็เป็นได้