คอลัมน์ » เส้นทางชีวิตหมอณุ จากสวนดอก สู่ อุบลราชธานี เบตง เชียงราย น่าน (ตอนที่1)

เส้นทางชีวิตหมอณุ จากสวนดอก สู่ อุบลราชธานี เบตง เชียงราย น่าน (ตอนที่1)

22 กรกฎาคม 2025
198   0

 

ผมเป็นคนลำปางโดยกำเนิด พ่อเป็นลูกครึ่งไทยจีนไหหลำ แม่เป็นคนพิษณุโลก จำได้ว่าพ่อเคยบอกให้ฟังว่าที่ตั้งชื่อผมว่า “พิษณุ” เพื่อให้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักของพ่อกับแม่ที่พิษณุโลก

ผมเชื่อว่าชื่อที่พ่อแม่ ครูอาจารย์ตั้งให้ล้วนมีความหมาย เป็นมงคลนามที่อยากให้เป็นคนดี ประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อโตขึ้น จึงไม่ควรไปเชื่อใครว่าชื่อไม่ดีมีกาลกิณี เป็นเหตุให้ประสบชะตากรรม หรือโชคร้ายต่างๆนานา บางคนเปลี่ยนชื่อถึงสี่ครั้ง สุดท้ายกลับมาใช้ชื่อเดิมที่พ่อแม่ตั้งให้

มีแฟนคลับหลายคนอยากรู้ถึงเส้นทางชีวิตของหมอณุว่าจากเหนือไปอีสาน ไปใต้สุดแล้วกลับไปเหนืออีก มีการวางชีวิตอย่างไร มีเรื่องราวอะไรสนุกๆให้ได้เรียนรู้หรือไม่ ผมจึงนำมาเผยแพร่ให้ทุกคนได้อ่าน เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตได้บ้าง

อุบลราชธานี

เมื่อผมเรียนจบแพทย์ที่สวนดอก เชียงใหม่ เดิมตั้งใจจะเป็นแพทย์ฝึกหัดที่สวนดอกเพราะมีอาจารย์ชวน เพื่อเรียนต่อเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรม ซึ่งมีโอกาสได้เป็นอาจารย์แพทย์ศัลยกรรมในอนาคต

พอดีในช่วงเวลานั้นอาจารย์แผนกศัลยกรรมเกิดความขัดแย้งกันรุนแรง ผมจึงเปลี่ยนแผนไปอยู่รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานีกับเพื่อนๆแพทย์เชียงใหม่รวม 5 คน

ณ ที่นี่ผมได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตเป็นแพทย์อย่างแท้จริง ได้นำเอาความรู้ที่ได้มารักษาคนไข้จริงๆ ผมชอบผ่าตัดและมีพรสวรรค์ในด้านนี้ จึงมีความสนใจเป็นพิเศษ ได้ทำผ่าตัดด้วยตัวเองมากมายเพราะอาจารย์และรุ่นพี่ไว้วางใจ ที่นี่ได้เห็นการทำงานของอาจารย์และแพทย์รุ่นพี่ที่ทุ่มเททำงานหนักแต่อยู่กันอย่างมีความสุข  คนไข้มีมากเมื่อเทียบกับจำนวนแพทย์ แต่ได้เห็นอัธยาศัยอันดีของอาจารย์และรุ่นพี่ที่มีต่อคนไข้ เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนคนทั่วไป ถือเป็นแบบอย่างอันดีที่ซึมซับในจิตใจของหมอณุต่อเนื่องมาจที่ได้รับมาจากสวนดอก

ในช่วงท้ายๆของการเป็นเป็นแพทย์ฝึกหัดที่รพ.สรรพสิทธิประสงค์ผมได้เลือกไปฝึกงานที่ รพ.จิตเวชพระศรีมหาโพธิ์ อุบลฯ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เนื่องจากเพิ่งจีบหมอพัชรี จึงไม่อยากเลือกไป กทม. ทำให้ได้รู้จักกับ ผอ.รพ. พญ.ปรีดา นรกานบริรักษ์ ท่านเป็นคนที่ดูเหมือนดุ เพราะต้องดูแลบุคลากรและคนไข้ที่มารับบริการจำนวนมาก พอได้ใกล้ชิดจึงพบว่าเป็นแพทย์ที่มีอัทธยาศรัยดีมาก

ท่านได้แสดงให้ผมเห็นถึงปัญหาการขาดแคลนจิตแพทย์ทั่วประเทศ รพ.พระศรีฯ ขนาด1,000 เตียง อัตราครองเตียง 100% แต่มีแพทย์เพียง2ท่านเท่านั้น (รวมผอ.) เป็นเหตุให้ไม่สามารถดูแลคนไข้ได้เต็มที่ ไม่มีการทำจิตวิเคราะห์หรือการทำ psychotherapy เลย พบมีคนไข้เสียชีวิตจากโรคทางสมองที่มานอนรพ.ด้วยปัญหาทางจิตทุกเดือน ทำให้ผมตกลงใจที่จะไปเรียนต่อจิตเวชที่รพ.สมเด็จเจ้าพระยาโดยทุนของรพ.พระศรีฯซึ่งผมได้ชวนหมอสุทัศน์บั้ดดี้ให้ไปเป็นจิตแพทย์ด้วยกันแต่ก็ได้ยื่นข้อเสนอกับกองสุขภาพจิต(ในขณะนั้น)ขอไปเทรนเลยโดยไม่ต้องรอใช้ทุนครบ1ปี(ขณะนั้นจิตเวชเป็นสาขาขาดแคลนสามารถไปเทรนได้หลังใช้ทุนครบ1ปี) เนื่องจากต้องการให้มีความรู้เต็มที่ก่อนจะมาทำการรักษาคนไข้จิตเวช แต่ไม่สำเร็จเพราะทางกรมการแพทย์ซึ่งเป็นต้นสังกัดกองสุขภาพจิตไม่ยอม

ผมยังจำได้ในช่วงนั้นถูกstaffรพ.สรรพสิทธิฯล้อเรียนว่า

“คิดดีแล้วเหรอที่จะเป็นจิตแพทย์ รู้หรือเปล่าว่าจิตแพทย์เขาจะต้องให้คนอื่นประเมินทุกวัน ทุกเช้าเขาจะถามเพื่อนแพทย์ว่า”เช้านี้คุณดูดีนะ ผมดูเป็นไงมั่งครับ”

ผมต้องขอขอบพระคุณอ.ปรีดาที่สนับสนุนเต็มที่ อ.มีวิธีการตรวจสอบความเหมาะสมของผมว่าเป็นจิตแพทย์ที่ดีได้หรือเปล่าโดยการสั่งเบียร์วุ้นให้ทานทุกครั้งเวลาทานอาหารเที่ยง ทีแรกผมปฏิเสธเพราะเป็นเวลางานแต่ก็แปลกใจที่อ.คะยั้นคะยอให้ดื่มทุกวัน

ต่อมาจึงรู้ว่า อ.จะประเมินพฤติกรรมหลังดื่มแอลกอฮอล์ว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงหรือไม่เนื่องจากเคยผิดหวังที่ส่งแพทย์ไปเรียนต่อแล้วเกิดอาละวาดหลังดื่มแอลกอฮอล์

หลังจากจบแพทย์ฝึกหัด รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี อ.นพ.อุทัย เจนพาณิชย์ ผอ.ได้แจ้งว่าผมและนพ.สุทัศน์ ศรีวิไล ได้รับการคัดเลือกจาก staffให้รับเป็นอาจารย์แพทย์ม.ขอนแก่น วิทยาเขตุอุบลฯ หลังจบแพทย์ใช้ทุน2ปีแล้วให้ไปเทรนแพทย์ประจำบ้านสูตินรีเวชและศัลยกรรมที่ม.ขอนแก่นแล้วมาปฏิบัติงานที่อุบลฯซึ่งขณะนั้นมีโครงการที่จะส่งนศพ.มาฝึกงานปี 4-5-6 ที่อุบลฯ

แต่ผมจับฉลากมาอยู่ที่รพ.สรรพสิทธ์ฯไม่ได้ เพื่อนๆที่จับได้ไม่ยอมมีใครยอมแลก ส่วนหมอสุทัศน์จับได้ เนื่องจากเป็นบั๊ดดี้กันตั้งใจว่าไปไหนก็จะไปด้วยกัน หมอสุทัศน์จึงสละสิทธิ ผมจำได้ว่าตอนนั้นเราสองคนไม่ต้องการจับฉลากอีกแล้ว จึงเดินไปดูตำแหน่งที่ว่างพบว่าทางใต้ว่างหมดไม่มีใครเลือก โดยเฉพาะ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้

พอเห็นชื่อ รพ.เบตง รพ.ยะหา ชื่อไพเราะดี ผมจึงลงชื่อสมัครเป็นแพทย์ที่ รพ.เบตง หมอสุทัศน์ที่รพ.ยะลาตอนนั้นไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหนของแผนที่ รู้แต่เพียงว่ายะลาเป็นจังหวัดใต้สุดของไทย อ.เบตง เป็นอ.ที่อยู่ใต้สุดติดชายแดนมาเลเซีย

จากนั้นมีเพื่อนๆจากจุฬาฯ รามาฯ และชม.มาร่วมลงชื่อด้วยเพราะคิดว่าน่าจะดีที่สุดทางใต้ ยะลาจึงเป็นจ.แรกทางภาคใต้ที่มีคนสมัครครบหมดทุกตำแหน่ง

ขอบคุณที่เป็นคนดี

นพ.พิษณุ ขันติพงษ์



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า