คอลัมน์ » คุยกับ… ดร.ปรีชา

คุยกับ… ดร.ปรีชา

7 มิถุนายน 2024
224   0

  1. ทัศนะของลูกหลานต่อผู้สูงอายุ : ภาพสะท้อนจากตัวเอง

ในหัวข้อนี้ คณะผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ต้องการจะทราบว่าการเป็นผู้สูงอายุในอดีตกับปัจจุบันมีความเหมือนกันหรือความแตกต่างกันอย่างไร โดยได้กำหนดประเด็นคำถามที่ค่อนข้างจะซับซ้อน กล่าวคือ ผู้วิจัยได้ถามถึงแนวคิดของผู้สูงอายุในสมัยที่ยังเป็นเด็กว่ามีทัศนะอย่างไรต่อผู้สูงอายุ การถามเช่นนี้ต้องการให้ผู้สูงอายุย้อนคิดไปถึงอดีตที่ผ่านมาว่ามองคนแก่คนเฒ่าอย่างไร ในการสอบถามได้อธิบายคำถามจนเป็นที่เข้าใจ โดยให้ผู้สูงอายุลองทบทวนความจำว่าเมื่อตอนที่เป็นเด็กนั้นมีความคิด ความรู้สึก และมีพฤติกรรมอย่างไรต่อผู้สูงอายุ ประเด็นคำถามต่อมาได้ถามผู้สูงอายุว่า ในปัจจุบันที่ผู้สูงอายุได้เป็นคนแก่มีอายุมากขึ้น คนหนุ่มสาวหรือเด็กสมัยนี้มองคนแก่อย่างไร มีความแตกต่างกับการที่ตนเองเคยมีทัศนะเช่นนั้นหรือไม่ และคำถามสุดท้ายคือ ตัวผู้สูงอายุได้มองตนเองอย่างไร แนวคำถามดังกล่าวข้างต้น แม้จะค่อนข้างสับสนเมื่อถามผู้สูงอายุที่มีอายุมากๆ แต่ก็ได้คำตอบค่อนข้างจะชัดเจนทุกคน เพราะหากสังเกตว่าผู้สูงอายุไม่เข้าใจในคำถามก็จะพยายามอธิบายและชี้แจงจนสามารถเข้าใจเป็นอย่างดี

ผลจากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ผู้สูงอายุเมื่อสมัยที่เป็นหนุ่มสาวนั้น ส่วนใหญ่มีทัศนคติในทางบวกต่อผู้สูงอายุ โดยให้เหตุผลว่าผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่องนับถือ และเป็นผู้ที่น่าสงสารเพราะคนแก่เป็นผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ผู้สูงอายุที่เป็นตัวอย่างครั้งนี้ยังให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า คนหนุ่มสาวในอดีตไม่เคยดูถูกคนแก่เพราะเป็นผู้อาวุโส คนส่วนใหญ่จะปรนนิบัติต่อผู้สูงอายุในทางที่ดีเมื่อเห็นคนแก่ก็รู้สึกรักและสงสาร โดยเฉพาะคนแก่ที่ยังต้องทำงานอยู่ บางคนทำไม่ไหวก็ยังต้องทำ คนหนุ่มสาวจึงให้ความสงสาร มีอะไรก็จะหามาให้กิน เห็นคนแก่เป็นเสมือนพ่อแม่ของตน บางคนถึงกับบอกว่าอยากให้มีลูกหลานเลี้ยงดูคนแก่ไปจนตาย ผู้สูงอายุที่เป็นตัวอย่างจำนวนไม่น้อยที่ตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า คนแก่มักจะขี้บ่นเอาแต่ใจตนเอง แต่ก็เป็นคนที่น่าสงสาร ร่างกายเหี่ยวย่น เคยมองอย่างเวทนา บางคนก็สกปรก ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ เพราะคนแก่ส่วนมากชอบสอน ชอบดุ และจู้จี้ขี้บ่น บางคนก็น่าสงสารเพราะไปไหนมาไหนคนเดียว ลูกหลานไม่ค่อยดูแล บางครั้งเกรงว่าเมื่อตนเองแก่เฒ่าขึ้นมาจะประสบปัญหาเช่นเดียวกันหรือไม่ ดังนั้นคนแก่จึงเป็นผู้ที่น่าสงสาร โดยเฉพาะคนแก่ที่ยากจน คนส่วนใหญ่จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลแม้จะไม่ใช่ญาติก็ตาม เพราะมีคนแก่หลายคนที่ลูกหลานไม่ดูแล ยังคงให้ทำงานและเผชิญความลำบาก

ในการถามคำถามครั้งนี้ ผู้สูงอายุไม่มีความลำบากใจในการตอบและคำตอบส่วนใหญ่จะเป็นการให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุค่อนข้างมาก เช่น กล่าวว่าคนแก่เป็นคนใจดีมีเมตตา เมื่อเห็นคนแก่ก็อยากช่วยเหลือ เพราะคนแก่เป็นผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ คนส่วนมากจะให้ความเคารพนับถือ เวลาพบปะก็จะต้องยกมือไหว้ แสดงความนับถือ ซึ่งเป็นการแสดงออกของคนหนุ่มสาวในอดีตต่อคนแก่ อีกประการหนึ่งคือ การที่เป็นผู้ที่ได้ประกอบคุณความดีมาก่อน ผ่านโลกมามาก เป็นคนดี พูดจาดี ให้ศีลให้พรเด็ก จึงเป็นบุคคลที่ควรยกย่อง แม้จะเป็นคนจู้จี้ชอบสอนก็เพราะมีเจตนาจะให้ลูกหลานเป็นคนดี

ภาพสะท้อนที่ปรากฏในทางลบที่ผู้สูงอายุได้เปิดเผยในการศึกษาครั้งนี้ คือ เมื่อสมัยที่เป็นเด็กๆ นั้น เห็นผู้สูงอายุเป็นผู้ที่มีสภาพร่างกายเสื่อมโทรม เคลื่อนไหวเชื่องช้า งุ่มง่าม หลังค่อม ผมหงอก หนังย่น เนื้อตัวเหลว คางยาน บางคนมีกลิ่นตัวเหม็น ผู้สูงอายุเป็นคนขี้หลงขี้ลืม รุ่มร่าม เลอะเทอะ สกปรก ขี้บ่น ใจน้อย พูดจาซ้ำซาก บางคนดุ ไม่อยากเข้าใกล้ รู้สึกรำคาญที่ต้องให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา ถึงแม้จะมีการมองเห็นผู้สูงอายุในทางลบ แต่ก็เป็นความจริงเพราะผู้สูงอายุมีร่างกายที่เสื่อมโทรม สุขภาพไม่แข็งแรง ทำอะไรไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้ก้าวร้าว ล่วงเกินผู้สูงอายุ ไม่คลุกคลี ไม่ค่อยให้ความสนใจมาก ต่างคนต่างอยู่ และบางครั้งก็เกรงคนแก่ แต่ก็ให้ความเคารพคนแก่อยู่

กล่าวโดยสรุป ผู้สูงอายุที่เป็นตัวอย่างครั้งนี้ส่วนใหญ่ได้สะท้อนความคิดเห็นว่า เมื่อตอนเป็นเด็กหรือหนุ่มสาวนั้นต่างมองคนแก่ในทางบวก คือ รู้สึกสงสาร อยากให้ความช่วยเหลือ ผู้สูงอายุยังได้ให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมว่าคนรุ่นหนุ่มสาวในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังให้ความเคารพนับถือ สงสารคนแก่เหมือนสมัยก่อน แต่ก็มีบางคนที่ไม่เคารพ ไม่สนใจ ไม่ให้ความช่วยเหลือก็มี แต่ผู้สูงอายุบางคนได้แสดงทัศนะอย่างเป็นกลางๆ ว่า ไม่รู้ว่าคนหนุ่มสาวปัจจุบันจะมองคนแก่เหมือนตนหรือไม่ เพราะไม่ค่อยได้คลุกคลีกัน ต่างคนต่างอยู่ คนวัยหนุ่มสาวต้องออกไปทำงานข้างนอก มีเวลาอยู่ด้วยกันใจแต่ละวันไม่มากนักไม่เหมือนอดีต ระบบสังคมเปลี่ยนไป ทำให้หน้าที่ของลูกหลานเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ลูกหลานทำงานรับใช้คนอื่นมากกว่าครอบครัว

ต่อคำถามที่ถามผู้สูงอายุว่า คนหนุ่มสาวปัจจุบันมองคนแก่อย่างไร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบว่าเมื่อผู้สูงอายุเป็นหนุ่มสาวได้มองผู้สูงอายุในขณะนั้นอย่างไร และจากการสังเกตจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันผู้สูงอายุคิดว่าคนหนุ่มสาวในปัจจุบันมองผู้สูงอายุขณะนี้อย่างไร จากการสัมภาษณ์แบบลึกส่วนใหญ่ตอบทำนองเดียวกันว่า คนหนุ่มสาวในปัจจุบันยังคงให้ความเคารพนับถือ ให้การยกย่อง สงสารและยังให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุเหมือนสมัยที่ตนเองเป็นหนุ่มเป็นสาวเหมือนเดิม แต่ก็มีผู้สูงอายุบางกลุ่มตอบว่าไม่นาใจว่าคนหนุ่มสาวในปัจจุบันมองคนแก่อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ส่วนกลุ่มสุดท้ายคิดว่าคนหนุ่มสาวใจปัจจุบันไม่ค่อยสนใจ ไม่รู้สึกสงสารและเห็นใจให้ความช่วยเหลือ

กลุ่มแรก พิจารณาว่า คนแก่เป็นผู้ที่คนหนุ่มสาวยังให้ความเคารพนับถือ ยกย่อง สงสาร ให้ความช่วยเหลือ ได้อธิบายเพิ่มเติมรายละเอียด คือ คนหนุ่มสาวเวลาพบคนแก่ยังคงยกมือไหว้ ให้ความนอบน้อมดี ทักทายแม้จะไม่รู้จัก ถ้าคนแก่คนใดที่มีสุขภาพไม่ดีเวลาขึ้นบันไดก็ช่วยประคอง หรือเวลาขึ้นรถโดยสารประจำทางก็จะลุกให้นั่ง เพราะเห็นเป็นคนแก่จึงมีความสงสาร บางคนก็สอบถามว่าไปไหน กินข้าวหรือยัง บางคนจะเรียกพ่อ แม่ ลุง ป้า ซึ่งเป็นการให้เกียรติผู้สูงอายุระดับหนึ่งที่ผู้สูงอายุกลุ่มแรกได้สังเกตเห็น

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มทีตอบแบบก้ำกึ่งระหว่างให้คำตอบแนวทางบวกและลบต่อการมองของคนรุ่นปัจจุบันต่อคนแก่ เช่น กล่าวว่าผู้คนปัจจุบันให้ความเคารพเหมือนกันแต่อาจน้อยกว่าสมัยก่อน โดยความเป็นจริงก็ไม่ทราบว่าคนหนุ่มสาวปัจจุบันคิดอย่างไร บางคนก็ทักทายดี บางคนก็ทำไม่ดี คนหนุ่มสาวในปัจจุบันอยู่ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง ไม่แน่ใจว่ายังคงมองคนแก่เหมือนสมัยที่ตนเองมองหรือไม่ เพราะบางคนก็แสดงความเคารพนับถือดี บางคนก็เฉยๆ ไม่สามารถแยกแยะได้ เพราะเป็นเรื่องจิตใจของแต่ละคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้คลุกคลีกับลูกหลานมากนัก เพราะลูกหลานต้องออกไปทำงานนอกบ้าน จึงแสดงความคิดเห็นว่าไม่ทราบว่าลูกหลานหรือคนหนุ่มสาวทั่วไปคิดอย่างไร อาจขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่เหมือนอดีตที่มีการยกย่องสูง ปัจจุบันการเคารพยกย่องนับถือเปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าเป็นลูกหลานก็ยังเคารพนับถือ มีความผูกพัน ผู้สูงอายุรายหนึ่งได้อธิบายว่าในสมัยก่อนที่ตนเองเป็นครูใหญ่ มีลูกศิษย์ชาวบ้านกราบไหว้ยกย่อง แต่ปัจจุบันคนทั่วไปคิดว่าครูใหญ่ หรือครูเป็นลูกจ้างรัฐบาลมีหน้าที่สอนหนังสือให้เด็กๆ ไม่ใช่ปูชนียบุคคลเหมือนที่เคยรับรู้กันในอดีต ดังนั้นการเคารพยกย่องจึงขึ้นอยู่กับบุคคล บางคนก็เคารพ บางคนก็ไม่เคารพ

กลุ่มสุดท้าย เชื่อว่าคนหนุ่มสาวในปัจจุบันมีทัศนคติในทางลบและมีความคิดเห็นที่เป็นอคติต่อผู้สูงอายุ โดยประเมินว่าคนหนุ่มสาวในปัจจุบันเป็นผู้ที่ไม่ค่อยให้ความสนใจผู้สูงอายุ ไม่ค่อยสงสารหรือให้ความช่วยเหลือ มองคนแก่ว่าเป็นผู้ที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความหมาย คนหนุ่มสาวสมัยปัจจุบันเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้สูงอายุ ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนแก่ ผู้สูงอายุเกือบครึ่งหนึ่งได้แสดงทัศนคติ และความคิดเห็นในด้านลบ ได้ให้รายละเอียดเหตุผล คือ คนหนุ่มสาวมองคนแก่อย่างไม่สนใจ บางคนยังกล่าวหาว่าคนแก่จู้จี้ขี้บ่น น่ารำคาญ ดังนั้นเวลาคนแก่อบรมสั่งสอนอะไรจึงไม่ค่อยฟัง บางครั้งคนหนุ่มสาวจะชอบพูดในเชิงกระทบและตำหนิ เช่น “แก่แล้วไม่อยู่สุข จู้จี้ขี้บ่น” ผู้สูงอายุได้ให้คำอธิบายว่า การที่คนแก่สอนคนหนุ่มสาวกลายเป็นเรื่องที่คนหนุ่มสาวหาว่าขี้บ่น แต่นั่นเป็นเพราะต้องการให้ลูกหลานได้ดี ปัจจุบันจะสั่งสอนอะไรลูกหลานไม่ค่อยเชื่อ หาว่าคนแก่ล้าสมัย ผู้สูงอายุรายหนึ่งได้สะท้อนข้อคิดเห็นว่า คนรุ่นใหม่มองคนแก่ไม่เหมือนสมัยก่อน เขามองคนแก่ว่า “ทำงานไม่ได้แต่กินข้าวได้” ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าคนแก่เป็นผู้ถูกดูถูกเหยียดหยาม ดังนั้นคนแก่จึงเป็นเสมือนส่วนเกินที่ไม่มีคนต้องการ ไม่มีใครสนใจอยากพูดคุยด้วย ไม่มีความหมาย ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโง่ ล้าสมัย ไม่ค่อยมีใครสงสาร คนหนุ่มสาวปัจจุบันยังไม่ค่อยให้ความเชื่อถือ เห็นคนแก่ไม่มีประโยชน์ การศึกษาต่ำและไม่อยากพูดคุยสุงสิงกับคนแก่ บางคนถึงเกลียดคนแก่ก็มี แต่บางคนก็ให้ความสนใจ

แม้ว่าจะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับผู้ที่คนแก่มองในทางบวก แต่เนื่องจากไม่ได้เปรียบเทียบเชิงปริมาณ จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ อย่างไรก็ดีผลจากการศึกษาครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังคาดหวังว่าคนหนุ่มสาวมีทัศนคติในทางที่ดีต่อคนแก่เหมือนเดิม จะมีเพียงส่วนน้อยที่มีแนวคิดในทางลบหรือก้ำกึ่งระหว่างการให้การสนับสนุนไปในทางบวกหรือทางลบ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นประโยชน์และช่วยให้เข้าใจมากขึ้นในประเด็นนี้ก็คือ เหตุผลหรือเนื้อหา (Content) ที่ได้แสดงออกมาจากผู้สูงอายุซึ่งต่างก็มีประสบการณ์เฉพาะตัว หรือมีความคิดเห็นที่ย่อมแตกต่างกันได้

ในส่วนสุดท้ายของประเด็นชุดคำถามทัศนะของลูกหลานต่อผู้สูงอายุ : ภาพสะท้อนจากตัวเอง เป็นการตั้งคำถามต่อเนื่องจาก (1) “เมื่อท่านเป็นเด็กท่านมองคนแก่อย่างไร” (2) “คนหนุ่มสาวปัจจุบันมองคนแก่อย่างไร” และ (3) “ท่านมองตัวเองอย่างไร” วัตถุประสงค์ของการถามข้อนี้ต้องการที่จะให้ผู้สูงอายุได้ประเมินจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันในเรื่องความหมาย ความสำคัญ และความคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุจากมุมมองของตน ผลจากการสัมภาษณ์ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มแนวคิด ดังนี้

  1. ด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดได้ตอบคำถามนี้โดยให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพเป็นสำคัญ ผู้สูงอายุต่างยอมรับว่าขณะนี้ตนเองมีสภาพเหมือนคนแก่ที่ตนเคยเห็นมาในอดีต ซึ่งมีแต่ทรุดโทรมลงทุกวัน แต่ก็ยังพอทำงานเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง มีบางคนที่มีโรคประจำตัวจะรู้สึกปวดเมื่อยจนทำอะไรไม่ได้ ทำให้โกรธตัวเองที่ตั้งใจแล้วทำไม่ได้ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะตอบว่าเมื่อเริ่มเป็นคนแก่จะมีปัญหากันทุกคน ด้านสุขภาพทั้งร่างกายที่ไม่แข็งแรง หมดแรงง่าย รำคาญตัวเองจะไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านหลงลืม จดจำไม่นาน ผู้สูงอายุบางคนบ่นท้อแท้สิ้นหวัง อยากตาย บางคนมองตนเองด้วยความสงสาร เพราะไม่มีลูกหลานมาดูแล แม้ว่าจะยอมรับว่าเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะต้องแก่ไปมากกว่านี้ เปรียบเสมือน “ไม้ใกล้ฝั่ง” “ดอกไม้ที่ร่วงโรยหมดสวยหมดงามไม่มีความหมาย” เพราะร่างกายและสุขภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงแย่ลง หูตาไม่ดี เวลาพูดคุยเสียงดังเด็กๆ ก็หาว่าตนด่า ผู้สูงอายุหลายคนแม้จะยอมรับว่าร่างกายจะร่วงโรย แต่จิตใจยังคงเข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป สำหรับผู้ที่ไม่ย่อท้อจะไม่ยอมมองว่าตนเองแก่ แต่ที่แก่ก็เพราะการมีโรค ยอมรับความแก่เป็นธรรมดาของชีวิต และเป็นธรรมชาติเมื่อถึงคราวแก่ก็ต้องแก่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับเมื่อถึงคราวทุกข์ก็ต้องทุกข์ เมื่อถึงคราวตายก็ต้องตาย ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงไปได้ เพียงแต่อย่าให้ต้องเจ็บป่วยเป็นอัมพาตเพราะจะสร้างปัญหาให้ลูกหลาน

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ยอมรับความจริงและคิดว่าสักวันหนึ่งความแก่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนบางครั้งจะสงสารตัวเอง หากต้องทำงานและรู้สึกเหนื่อยอ่อนไม่เหมือนตอนหนุ่มสาวที่มีร่างกายแข็งแรง ทำงานหนักได้ แต่เมื่ออายุมาก สังขารถดถอย ไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำได้เพราะร่างกายที่ทรุดโทรมลงทุกวัน

  1. ด้านคุณค่า ความหมาย และการให้ความสำคัญแก่ตนเอง ผู้สูงอายุกลุ่มที่สองมองตนเองแตกต่างไปจากกลุ่มแรกที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ โดยเน้นที่คุณค่าความหมายของการเป็นผู้สูงอายุที่บุตรหลานยังให้ความเคารพนับถือยกย่องทำให้เกิดความภูมิใจ เพราะลูกหลานมาขอคำปรึกษาหารือ ขอคำแนะนำ ผู้สูงอายุกลุ่มนี้มองตนเองไปในทางบวก โดยเชื่อว่ามีคุณค่าเพราะสามารถเลี้ยงดูลูกหลานจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้คิดเสมอว่าตนเองมีคุณค่าเพราะผลกรรมที่ทำดี รวมทั้งผลบุญที่เป็นคนมีศีลธรรม จึงเชื่อว่าการเป็นผู้สูงอายุในขณะนี้เป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ เวลาไปที่ไหนก็มีคนเคารพนับถือ เพราะได้ประพฤติดีทำตัวให้สมกับวัย และทำหน้าที่ในบทบาทผู้สูงอายุ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่จู้จี้ การเป็นผู้สูงอายุจึงจะมีคุณค่าและมีความหมายและผู้อื่นก็ให้ความเคารพนับถือและให้ความสำคัญของการเป็นผู้สูงอายุ แม้จะเป็นผู้สูงอายุก็ยังมีประโยชน์เพราะได้ทำความดีมาโดยตลอด ภูมิใจในตนเอง

ในทางตรงกันข้าม มีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่เห็นว่าคุณค่าและความสำคัญแทบไม่หลงเหลืออยู่ เพราะการที่ตนเองเป็นผู้สูงอายุ มีความรู้สึกท้อแท้และมีชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าไร้ความหมาย สงสารตัวเองที่ไม่มีประโยชน์ที่จะมีชีวิตต่อไป

  1. ด้านพฤติกรรม นิสัยใจคอ และอารมณ์ความรู้สึก ผู้สูงอายุที่ตอบในกลุ่มนี้ ยอมรับว่าการเป็นผู้สูงอายุทำให้ตนมีนิสัยเปลี่ยนไปบ้าง คือ ชอบให้คนเอาใจ น้อยใจง่าย แม้จะช่วยตัวเองไม่ได้ก็พยายามไม่บ่นจู้จี้ แต่ก็อดไม่ได้ต้องกล่าวตักเตือนลูกหลาน มีความรู้สึกหดหู่ท้อถอยบ้างเพราะทำอะไรไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ รวมทั้งขี้หลงขี้ลืม ความจำเสื่อมลง ไม่คล่องแคล่ว ทำให้โกรธตัวเอง เป็นบางครั้งที่ทำอะไรไม่ได้ ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ยอมรับว่าพฤติกรรมนิสัยใจคอหนุ่มสาวและเริ่มรู้สึกว่าตนเองมีสภาพร่างกายจิตใจเหมือนย่าเหมือนยายของตัวเอง ในการติดต่อกับคนอื่นๆ บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนงุ่มง่าม เชื่องช้า พูดช้า คิดช้า ผู้สูงอายุบางคนก็ยอมรับว่าตนเองจู้จี้ขี้บ่นบ้าง แต่การที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นก็เพราะอยากให้ลูกหลานได้ดี บางครั้งก็ไม่มีใครเชื่อว่าหาคนแก่หัวโบราณ ล้าสมัย แต่เพราะเป็นผู้อาวุโส และต้องการให้ลูกหลานเป็นคนดีก็ต้องอบรมสั่งสอน



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า