- การพึ่งตนเอง การเป็นภาระต่อครอบครัว ชุมชน และสังคม
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เชื่อว่า ถ้าผู้สูงอายุไม่สามารถพึ่งตนเองได้จะเป็นภาระของครอบครัว การช่วยเหลือตนเองไม่ได้มีสาเหตุสองประการ
ประการแรก คือ การที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ทำงานไม่ได้ ต้องพึ่งพาลูกหลานอันเป็นภาระที่ลูกหลานจะต้องให้ความช่วยเหลือ
ประการที่สอง คือ การพึ่งพาตนเองด้านการเงิน เพราะผู้สูงอายุไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดั่งเดิมทำให้ขาดรายได้ และต้องพึ่งพิงอาศัยลูกหลานในการยังชีพ
การที่ผู้สูงอายุได้แสดงทรรศนะต่อไปนี้ เป็นการสะท้อนความคิดความเชื่อว่าผู้สูงอายุจะตอบอย่างไรต่อสถานการณ์สมมุติ การตั้งคำถามนี้มีวัตถุประสงค์จะให้ผู้สูงอายุประเมินสถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับตนในอนาคต และต้องการทราบทัศนคติของผู้สูงอายะว่าคาดหวังอะไรจากครอบครัว ชุมชน และสังคม ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ให้การเกื้อหนุนด้านสังคม (social support) แก่ผู้สูงอายุ
จากการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุทั้งหมด ผลปรากฏว่า เมื่อตั้งคำถามสมมุติเช่นนี้ ผู้สูงอายุได้สะท้อนความรู้สึกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือที่เป็นภาระต่อครอบครัว ได้แก่ ปัญหาอันเนื่องมาจากสุขภาพ ปัญหาด้านการดูแล และปัญหาด้านการเงิน ส่วนผู้สูงอายุที่เชื่อว่าจะไม่เป็นภาระต่างมีความมั่นใจว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครอบครัวสามารถแก้ไขได้ โดยกลไกทางสังคมและวัฒนธรรมเพราะเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่ต้องปรนนิบัติผู้สูงอายุตามที่สังคมได้กำหนดกันมา คือ เป็นการตอบแทนบุญคุณที่พ่อแม่เลี้ยงลูกหลานจนเติบใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่เชื่อว่าไม่มีปัญหาและเป็นภาระเพราะร่างกายแข็งแรง ยังทำงานได้เหมือนเดิม รวมทั้งไม่มีปัญหาด้านการเงินเพราะได้รับเงินบำนาญหรือลูกหลานยังคงส่งเสียเลี้ยงดู ส่วนกลุ่มสุดท้าย พิจารณาว่าจะเป็นภาระหน้าไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานภาพทางเศรษฐกิจ รายได้ และตัวผู้สูงอายุในด้านสุขภาพร่างกายประกอบกัน
เหตุผลที่เป็นภาระของครอบครัว
- ปัญหาสุขภาพ
1.1 หากร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัว จะต้องพึ่งพาครอบครัวตลอดเวลา
1.2 ต้องให้ลูกหลานดูแลเอาใจใส่เพราะไม่สามารถช่วยตัวเองได้ถ้าอายุมากขึ้นๆ
1.3 ในยามเจ็บป่วยจะเป็นภาระแก่ลูกหลานมากขึ้นกว่าเดิม
1.4 ผู้สูงอายุที่พิการ ลุกเดินไม่ได้จะสร้างปัญหาแก่ครอบครัวตลอดเวลา
1.5 ยิ่งอายุมากขึ้นปัญหาสุขภาพจะมากขึ้นลูกหลานจะต้องรับภาระสูงขึ้น
- ปัญหาด้านการดูแล
2.1 ลูกหลานต้องเสียเวลามาคอยดูแลเอาใจใส่ ทำให้เสียเวลาการทำมาหากินของลูกหลาน
2.2 ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ไม่มีครอบครัว ยิ่งเป็นภาระแก่ญาติ
2.3 ลูกหลานต้องเอาใจใส่ดูแล ทั้งๆ ที่พวกเขาก็มีภาระมากอยู่แล้วต้องแบ่งเวลามาดูแล
2.4 ลูกหลานต้องขาดงาน ขาดรายได้ เวลาที่ต้องมาดูแลผู้สูงอายุ ที่ต้องการความช่วยเหลือตลอดเวลา
2.5 ลูกหลานเป็นห่วงต้องคอยปรนนิบัติ เอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด
- ปัญหาด้านการเงิน
3.1 เวลาเจ็บป่วยต้องเสียเงิน ครอบครัวต้องรับภาระค่าใช้จ่าย
3.2 ไม่สามารถทำงานได้ไม่มีเงินทอง ต้องอาศัยเงินทองลูกหลาน เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
3.3 ถ้ายิ่งยากจนจะยิ่งเป็นภาระแก่ครอบครัวมากขึ้น
3.4 ความเป็นอยู่ลำบากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเป็นผู้สูงอายุ เพราะไม่มีทรัพย์สินและไม่มีเงินทองมากพอที่จะทำให้มีชีวิตที่ดี
3.5 ทำให้ลูกหลานลำบากเพราะต้องแบ่งเงินทองให้ใช้ เนื่องจากผู้สูงอายุไม่มีรายได้
ในการศึกษาครั้งนี้พบว่า ผู้สูงอายุเกือบสามในสี่ได้สะท้อนความคิด ความรู้สึกว่าผู้สูงอายุจะสร้างปัญหาและเป็นภาระแก่ครอบครัวด้วยสาเหตุหลักๆ 3 ประการ คือ ด้านสุขภาพ ด้านการดูแล และด้านการเงิน
ประเด็นที่หนึ่ง ปัญหาด้านสุขภาพ ที่ผู้สูงอายุได้ให้เหตุผลด้านสุขภาพก็เพราะผู้สูงอายุเชื่อว่าเมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายจะเสื่อมถอยลง สุขภาพจะดีขึ้นกว่าเดิมจึงเป็นไปไม่ได้ ทำให้เป็นภาระแก่ลูกหลานในการดูแลรักษาเมื่อเจ็บป่วย ลูกหลานจะเสียทั้งเงินทอง และเสียเวลาที่ต้องแบ่งเวลา เงินทองมาดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว หรือเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลูกหลานต้องคอยดูแลทั้งการกิน การขับถ่าย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ลูกหลานได้ทำและปรนนิบัติเป็นการแสดงน้ำใจ แม้จะมีเงินทองก็ไม่เหมือนการมีน้ำใจ ดังที่ผู้สูงอายุบางคนได้แสดงความคิดเห็นว่า คนรวยบางคนที่ตายไม่มีใครไปร่วมงานศพ แต่ถ้าจนแต่เป็นคนที่รวยน้ำใจเวลาตายก็จะมีคนไปร่วมงานมากมายกลายเป็น “คนศพงาม”
ในประเด็นเรื่องสุขภาพนี้ ผู้สูงอายุได้แยกประเด็นเป็น 2 ลักษณะ 1.สุขภาพอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วย 2.สุขภาพอันเนื่องมาจากความชรา
ผู้สูงอายุยอมรับว่าความชรานั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกับความเจ็บป่วย การเป็นผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียวก็เป็นภาระอยู่แล้ว แต่ยิ่งถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพจะเป็นภาระแก่ครอบครัวมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยเงินทองจากลูกหลาน ยังเบียดเบียนเวลาการทำงานของลูกหลาน เพราะจะต้องมาดูแลทั้งตัวผู้สูงอายุที่เป็นผู้ชราภาพ รวมทั้งความป่วยไข้อีกด้วย ในเรื่องเดียวกันนี้แม้ผู้สูงอายุบางคนยังไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ก็ได้ให้เหตุผลและทำนายว่าความเป็นอยู่ในบ้านเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สูงอายุจะต้องพึ่งพาลูกหลานในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ทั้งในเรื่อง การหุงหาอาหาร การเดิน การนอน การขับถ่าย ดังนั้นผู้สูงอายุบางคนต้องการให้ลูกดูแลด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน
จากการสังเกตและสัมภาษณ์ ผู้สูงอายุบางคนได้อธิบายถึงกลวิธีการเตรียมหาลูกหลานไว้คอยปรนนิบัติในยามแก่เฒ่า คือ จะได้ทรัพย์สินที่ดินแก่ลูกคนโต เผื่อจะได้ “ฝากผีฝากไข้” ส่วนลูกคนถัดๆ ไปจะส่งเสียให้เรียน เมื่อลูกคนโตไม่ได้เรียนหนังสือก็ต้องอยู่กับตนตลอดไป เพราะไม่มีความรู้ที่จะทำงานอื่นๆ นอกจากทำนา ตัวอย่างนี้มิได้เป็นตัวแทนของแนวความคิดนี้ทั้งหมด โดยผู้สูงอายุอาจยกที่ดินให้ลูกคนสุดท้องที่เป็นผู้หญิง เพื่อจะได้อยู่กับตนนานที่สุด
ประเด็นที่สอง ปัญหาด้านการดูแล ผู้สูงอายุมีความเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไรลูกหลานจะคงไม่ทิ้ง แต่การที่ลูกหลานต้องมาดูแลตนนั้นถือว่าเป็นภาระ แม้ผู้สูงอายุบางคนจะเชื่อว่าการดูแลเป็นหน้าที่ของลูกหลาน แต่ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกเกรงใจ และคิดว่าการที่ตนเองเป็นผู้สูงอายุ ได้สร้างความลำบากให้แก่ครอบครัวแน่นอน ทำให้สมาชิกในครอบครัวต้องเป็นห่วง โดยเฉพาะลูกหลานที่มีครอบครัวอยู่แล้วได้รับผลกระทบ เพราะทำให้เสียเวลาทำมาหากินมีภาระต้องดูแลครอบครัวอยู่แล้วได้รับผลกระทบ เพราะทำให้เสียเวลาทำมาหากิน มีภาระต้องดูแลครอบครัวของตนเอง การที่ต้องมาดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นภารกิจที่เพิ่มขึ้น และแทนที่จะต้องดูแลครอบครัวของตนเอง กลับต้องมาคอยปรนนิบัติพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุบางคนได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า การดูแลคนแก่เป็นภาระหน้าที่ที่น่าเบื่อหน่าย คนรังเกียจ
โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่ดี ไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ต้องเป็นภาระที่ทุกคนต้องช่วยบางคนถึงกับแสดงความรู้สึกว่าตนเองเสียใจที่ต้องคอยให้ลูกหลานดูแล ไม่ทิ้งไม่ขว้างผู้สูงอายุ จึงเป็นภาระที่ลูกหลานต้องลำบาก ทำให้เสียเวลาทำมาหากิน
ประเด็นที่สาม ปัญหาด้านการเงิน มีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่า การพึ่งพาลูกหลานที่สำคัญ คือการพึ่งพาด้านทรัพย์สินเงินทอง ทั้งนี้ก็เพราะผู้สูงอายุไม่สามารถทำงานหาเงินเลี้ยงตนเองได้ การดำเนินชีวิตในปัจจุบันจึงขึ้นอยู่กับผู้อื่น โดยเฉพาะลูกหลานที่ส่งเสียเลี้ยงดู ปรากฏการณ์เช่นนี้ก็เพราะผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ไม่มีเบี้ยบำนาญภายหลังเกษียณอายุหรือไม่มีรายได้อื่นใด นอกจากได้จากลูกหลานแบ่งปันให้ มีผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนเพียงไม่กี่ราย ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงมหาดไทย เดือนละ 200 บาท ซึ่งก็ไม่เพียงพอแต่อย่างใด ผู้สูงอายุที่ให้เหตุผลเรื่องการเงินก็เพราะลูกหลานต่างมีภาระเลี้ยงดูครอบครัวของตนเองอยู่แล้ว การที่ต้องให้ความอุปการะผู้สูงอายุ จึงเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งครอบครัวที่ยากจนก็จะมีปัญหาการเลี้ยงดูเพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตและการรักษาพยาบาลในยามเจ็บป่วย
สำหรับผู้สูงอายุที่ตอบว่าการเป็นผู้สูงอายุไม่เป็นภาระของครอบครัวนั้น ได้ให้เหตุผลสรุปได้ดังนี้ 1.มีสุขภาพดีรางกายแข็งแรง ยังคงประกอบอาชีพได้เหมือนปกติ 2.เป็นข้าราชการบำนาญ โดยได้รับเงินจากรัฐบาลทุกเดือน 3.มีเงินสะสมไว้ในธนาคารไม่เดือนร้อน 4.ลูกหลานให้เงินเดือนประจำ 5.ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน
การที่ผู้สูงอายุระบุว่าไม่ได้สร้างปัญหา หรือเป็นภาระต่อครอบครัวแม้จะต้องให้ครอบครัวดูแลตนนั้น ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ได้ให้เหตุผลว่าการดูแลผู้สูงอายุนั้นเป็นวัฒนธรรมของไทย เป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่เฒ่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพ่อแม่ได้เลี้ยงลูกๆ จนโตมาแล้ว ถือเป็นการตอบแทน ไม่คิดว่าการที่ลูกหลานปรนนิบัติเป็นภาระของครอบครัว ผู้สูงอายุบางคนยังได้ให้เหตุผลว่า “ไม่เป็นภาระของครอบครัว เพราะเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องดูแล เราเลี้ยงเขามาดีเขาก็เลี้ยงเราดี” และ “เป็นหน้าที่ของลูกๆ ที่ต้องคอยดูแล ยิ่งคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ต้องดูแลมากขึ้น”
ผู้สูงอายุทีได้ให้เหตุผลเช่นนี้เป็นการคาดหวังของผู้สูงอายุว่าบทบาทและหน้าที่ของครอบครัวอย่าหนึ่งก็คือ การดูแลผู้สูงอายุ ถือเป็นค่านิยมของสังคมที่ได้ขัดเกลาให้ลูกหลานต้องปรนนิบัติบุพการี นอกจากจะเป็นการตอบแทนพระคุณแล้ว ผู้สูงอายุยังมั่นใจว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของลูกหลานที่ควรจะต้องปรนนิบัติในการเลี้ยงดูพ่อแม่ เพราะครั้งหนึ่งพ่อแม่ได้เลี้ยงลูกหลานมาแล้ว ดังนั้น การปฏิบัติต่อพ่อแม่ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นภาระ
ส่วนผู้ที่ตอบว่าไม่เป็นภาระ กลุ่มแรกเชื่อว่าเพราะมีสุขภาพที่ร่างกายยังแข็งแรง และยังคงประกอบอาชีพได้อยู่นั้น ก็เพราะผู้สูงอายุกลุ่มนี้อยู่ในวัยสูงอายุขั้นต้นๆ การทำงานในไร่นาไม่ได้จำกัดอายุว่าจะเลิกหรือหยุดการทำงานเมื่ออายุเท่าใด การเลิกหรือหยุดทำงานในไร่นาจึงขึ้นอยู่กับพละกำลัง สุขภาพของแต่ละคน ดังนั้น ผู้สูงอายุที่ยังสามารถทำงานได้จึงไม่จำเป็นพึ่งพาทางครอบรัว ผู้สูงอายุกลุ่มนี้จึงเน้นเรื่องสุขภาพเป็นปัจจัยที่ไม่ทำให้เป็นภาระ
ผู้สูงอายุที่คิดว่าไม่เป็นภาระกลุ่มที่สองเป็นผู้ที่เชื่อว่าสามารถช่วยตัวเองได้จากการที่มีเงินบำนาญ หรือมีเงินฝากสะสมไว้ในธนาคาร การมีเงินเป็นตัวชี้วัดการมีสถานภาพทางสังคมอย่างหนึ่ง ที่ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยและสร้างปัญหาแก่ผู้อื่น ผู้สูงอายุกลุ่มนี้จึงเชื่อว่าตนเองไม่เป็นภาระแก่ครอบครัว และบางคนยังกล่าวว่าลูกหลานยังต้องพึ่งพาตนอยู่ เพราะเป็นผู้ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ผู้สูงอายุยังต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลาเพราะถือว่าตนเองยังเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานอยู่
การที่ผู้สูงอายุตอบว่าการเป็นผู้สูงอายุจะเป็นภาระหรือไม่เป็นภาระ จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของครอบครัวและตัวผู้สูงอายุเอง เงื่อนไขดังกล่าวคือฐานะของครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือรายได้ของลูกหลาน เช่น ถ้าพ่อแม่หรือตัวผู้สูงอายุมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ก็จะไม่สร้างปัญหา และไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน ส่วนครอบครัวที่ยากจนก็อาจมีปัญหามาก เงื่อนไขที่สำคัญประการที่สอง คือ สถานสุขภาพ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าสุขภาพร่างกายของผู้สูงอายุ เป็นดัชนีชี้วัดการพึ่งพา ถ้าหากเป็นผู้ที่เจ็บป่วย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็จะสร้างปัญหาให้ครอบครัว ผู้สูงอายุจึงหวังที่จะให้มีสุขภาพที่ดี ไม่ใช่อยู่ที่เงินทอง หากไม่เจ็บป่วย ลูกหลานก็มีความสุข ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ ถ้าเจ็บป่วยขึ้นมากลูกหลานต้องคอยดูแลเอาใจใส่แม้จะมีเงินก็ไม่สามารถช่วยได้ ดังนั้นการมีเงินน้อยก็ควรจะใช้น้อย สุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผู้สูงอายุต่างยอมรับว่าเหตุการณ์ต่อไปในอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ค่อยมั่นใจ แต่เชื่อว่าถ้าแก่มากกว่านี้คงจะเป็นปัญหาและเป็นภาระของครัวครัวแน่นอนไม่มากก็น้อย
เมื่อถามผู้สูงอายุต่อไปว่า ถ้าผ้าสูงอายุไม่สามารถพึ่งตนเองได้นอกจากจะเป็นภาระต่อครอบครัวตามที่ผู้สูงอายุคาดหวังแล้ว จะเป็นปัญหาต่อชุมชนและสังคมอย่างไร เกือบครึ่งของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดเชื่อว่าถ้าผู้สูงอายุไม่สามารถช่วยตัวเองได้อาจเป็นปัญหาและเป็นภาระต่อสังคมได้ ดังนั้นสังคมจะต้องให้ความสนใจดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานหรือญาติให้การดูแลเอาใจใส่ รัฐพึงต้องให้ความช่วยเหลือทั้งด้านสวัสดิการและการสงเคราะห์ บัตรสุขภาพ รวมทั้งเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือน นอกจากการจะเป็นภาระทางสังคมแล้ว ผู้สูงอายุยังอาจถูกสังคมรังเกียจได้ อย่างไรก็ตามมีผู้สูงอายุอีกกลุ่มหนึ่ง เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นภาระแก่สังคม โดยให้เหตุผลว่าปกติผู้สูงอายุจะต้องมีครอบครัว ญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือดูแลอยู่แล้ว หรือถ้าไม่มีจริงๆ ชาวบ้านก็ยังคงได้ความเมตตาดูแล จึงไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาของสังคม แต่จะเป็นปัญหาของแต่ละครอบครัวมากกว่า