
อรรถาธิบาย
ความมุ่งหมายของการวิจัยนี้ต้องการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้าและนักธุรกิจกับระบบรัฐสภา เฉพาะในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเท่านั้น การวิจัยนี้เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ คณะผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร บทความ รายงาน และสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ และข้อมูลศึกษาภาคสนาม โดยสัมภาษณ์บุคคลซึ่งเป็นผู้รู้ (key informants) ในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการวิจัยครั้งนี้มีดังนี้
พ่อค้าและนักธุรกิจที่เข้าไปมีความสัมพันธ์กับระบบรัฐสภามากที่สุด คือสภาผู้แทนราษฎรโดยผ่านการให้การสนับสนุนและบริจาคด้านการเงินแก่พรรคการเมือง หรือลงทุนส่งลูกหลานหรือตนเองลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนักการเมืองโดยตรง การจัดตั้งพรรคการเมืองและการดำเนินการทางเมืองในปัจจุบันจะต้องใช้ทุนทรัพย์ในการหาเสียงและหรืออาจต้องซื้อเสียง เพื่อให้สามารถเข้ามาสู่รัฐบาลได้ การเข้ามาสู่ระบบรัฐสภาเป็นความต้องการเพื่อได้อำนาจในฐานะนักการเมืองเพราะเป็นฐานในทางธุรกิจที่ช่วยปกป้องผลประโยชน์ หรือรวมทั้งได้ประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐบาลได้พ่อค้าและนักธุรกิจที่เข้ามาสู่ระบบรัฐสภาอาจมีประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศ เพราะสังคมปัจจุบันได้ก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตน์ การมีนักการเมืองที่เป็นพ่อค้าและนักธุรกิจจะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ดีมากกว่านักการเมืองที่เป็นข้าราชการหรือนักกฎหมาย
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองกับพ่อค้าและนักธุรกิจเป็นไปตามแนวคิด การพึ่งพาซึ่งกันและกันในระบบอุปถัมภ์ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อหวังผลทางธุรกิจเพื่อตนเองและพวกพ้อง พ่อค้าและนักธุรกิจที่ผ่านเข้ามาสู่ระบบการเมืองยังขาดอุดมการณ์ทางการเมือง และทำงานการเมืองเพื่อผลประโยชน์แก่ประชาชน ในทางตรงกันข้ามจะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ยิ่งถ้าเป็น “นักการเมืองธุรกิจ” ก็หวังจะอยู่ในตำแหน่งให้นานมากที่สุดเท่าที่จะนานได้
พ่อค้าและนักธุรกิจกับรัฐสภาไทยเป็นเสมือนดาบสองคม การมีนักธุรกิจ (การ-เมือง) ที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยย่อมจะดีและมีคุณค่ากว่านักการเมืองที่ต้องการใช้อำนาจทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง
1. บทนำ
ปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญ คือ การเข้าสู่ระบบรัฐสภาของกลุ่มพ่อค้าและนักธุรกิจ ที่แปรเปลี่ยนจากการเป็นผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ มาเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง การเข้ามาสู่ระบบการเมืองของกลุ่มพ่อค้า และนักธุรกิจที่ผ่านมาเป็นปรากฏการณ์ที่น่าวิตกว่า พ่อค้าและนักธุรกิจจะอาศัยอำนาจทางการเมือง เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง และกลุ่มพรรคพวก พ่อค้าและนักธุรกิจที่มีธุรกิจขนาดใหญ่จะเป็นทั้งฐานเสียงและฐานเงิน เมื่อมีการประสานผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น ระบบการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยก็จะถูกครอบงำและตกอยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มพ่อค้าและนักธุรกิจมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การวิจัยเรื่องพ่อค้าและนักธุรกิจกับระบบรัฐสภาไทย เป็นการวิจัยเชิงมานุษยวิทยาการเมือง (Political Anthropology) โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมทางการเมืองของคนไทย ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง จากวัฒนธรรมการเมืองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีรัฐสภาเป็นองค์กรสูงสุด ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศตะวันตก ที่คณะราษฎร เชื่อว่าระบอบการปกครองแบบนี้จะทำให้ประเทศไทยมีความเจริญมีความเสมอภาคทัดเทียมกับอารยประเทศ อำนาจในการปกครองประเทศจะต้องเปลี่ยนจากอำนาจชนชั้นขุนนางและกษัตริย์ มาเป็นการให้อำนาจทางกฎหมายเพื่อเป็นอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมืองของสังคมไทย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมใหม่ที่มีผลกระทบ ต่อแบบแผนการดำเนินชีวิตของคนไทย การรับเอาธรรมเนียมการปกครองจากประเทศตะวันตกโดยเฉพาะประเทศอังกฤษเป็นต้นแบบ คือ เป็นระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยทรงใช้พระราชอำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี อำนาจทางนิติบัญญัติทางรัฐสภา และอำนาจตุลาการทางศาล การวิจัยเรื่องนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าส่วนใหญ่จากเอกสาร รายงาน และ หลักฐานสิ่งตีพิมพ์เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ นอกจากการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารแล้ว ผู้วิจัยยังได้สัมภาษณ์เจาะลึกจากผู้รู้ที่เป็นทั้งนักการเมือง พ่อค้า นักธุรกิจ และนักวิชาการ ในประเด็นเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อบทบาทที่พ่อค้าและนักธุรกิจกับระบบรัฐสภา ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
นับตั้งแต่การรับเอาวัฒนธรรมทางการเมืองจากตะวันตก เข้ามาสู่ประเทศไทยจนสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบรัฐสภา จนถึงปัจจุบัน ถึง68 ปี ก็ยังไม่อาจทำให้คนไทยและสังคมไทยมีความเข้าใจ และมีพฤติกรรมทางการเมือง เช่นเดียวกับสังคมตะวันตกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มบุคคลที่เรียกตนเองเป็นนักการเมือง และได้เข้ามาสู่ระบบรัฐสภา มีอุดมคติทางการเมืองที่แตกต่างกันไปตามยุคตามสมัย ดังปรากฏชัดเจนว่านักการเมืองยุคแรกๆ เป็นกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์ที่เต็มเปี่ยมในเรื่อง “ประชาธิปไตย” ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ตามเจตนาและอุดมคติ นักการเมืองจึงประกอบด้วย นักคิด นักวิชาการ นักประชาธิปไตย (Scholar – Bureaucratic Elite) ซึ่งต่อมากลับกลายเป็นกลุ่มผู้นำทางการทหาร (Military – Bureaucratic Elite) ที่เข้ามามีบทบาทต่อระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ภายใต้อำนาจทหารที่มีทั้งอิทธิพลและอาวุธเป็นเครื่องมือ
การเข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ และในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มพ่อค้าและนักธุรกิจ กลับเป็นกลุ่มอำนาจหรือกลุ่มผู้นำใหม่ (Business – Bureaucratic Elite) ในระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยเหตุการณ์ต่างๆ ทางการเมืองที่ผ่านมามีลักษณะเป็นพลวัตรมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงตลอดมา ผู้ที่ต้องการเป็นนักการเมืองมิได้มีเป้าหมายเพื่อเข้ามาสู่รัฐสภาเท่านั้น แต่ต้องการที่จะเป็นรัฐบาล เพื่อจะได้มีอำนาจบริหารราชการ และยิ่งไปกว่านั้น ความฝันอันสูงสุดของนักการเมืองก็คือการได้มีตำแหน่งเป็น “รัฐมนตรี” ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง สำหรับนักการเมืองหน้าใหม่แต่หากได้รับการเลือกตั้งหลายครั้ง และคร่ำหวอดกับการเมืองก็มุ่งหวังที่จะไปบริหารในกระทรวงที่มีขนาดใหญ่ มีอำนาจ และได้รับการจัดสรรงบประมาณสูง
รศ.ดร.ปรีชา อุปโยคิน