คอลัมน์ » เชียงราย…‘เมืองไทย..อนาคต’

เชียงราย…‘เมืองไทย..อนาคต’

2 ธันวาคม 2020
616   0

ธันวาคม 2563 เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของปีนี้แล้ว ก่อนที่ทั่วโลกจะต้อนรับศักราชใหม่ ปี 2564  (2021)

ช่วงนี้เชียงรายมีเทศกาลต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวมากมายดังที่ทราบกันแล้วตามสื่อต่างๆ ที่นำเสนอ ใครชอบที่ไหนไปที่นั่น…ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขโดยทั่วกัน…ตามใจปรารถนา… และ 20 ธ.ค.นี้อย่าลืมไปเลือกตั้งกัน…

การบ้านการเมืองของไทยปัจจุบันกำลังเข้มข้นและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง… เพราะการเมืองเป็นส่วนสำคัญที่มีอิทธิพลที่ภาษาคนรุ่นใหม่ว่า ‘อินฟูเอนเซอร์’ ซึ่งมีการแทรกอยู่ทุกมิติในวิถีชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่ายากดีมีจนแม้แต่ผู้ทรงอำนาจในเครือข่ายอำนาจต่างๆ ก็เช่นกันย่อมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองทั้งในระดับชาติและท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้…

            เมื่อก่อนคนรุ่นเก่าๆ หลากหลายอาชีพ รวมทั้งชาวไร่ ชาวนา กรรมกรส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจการเมือง เพราะเข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องของผู้แทนเมื่อเลือกตั้งไปแล้วก็จบกัน เลือกไปแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น เราก็ยังยากจนเหมือนเดิมอะไรทำนองนี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคิดและมีความเชื่อแบบเดิมๆ …

ปัจจุบันในยุคโซเชียลมีเดีย ยุคดิจิทัลที่มีการดิสรัปต์ (ทำลายล้าง แปลงโฉม) อะไรต่อมิอะไรต่างๆ ให้ทันสมัยกับความก้าวหน้าของโลกแห่งเทคโนโลยี ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ทุกเพศวัยทุกฐานะกลายเป็น “พลเมืองโลก” ได้สนใจการเมืองมากขึ้น เพราะเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความสนใจและศักยภาพของแต่และคน เพราะนั่นหมายถึงการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของสิ่งที่เรียกว่า สิ่งที่มีชีวิตที่อาศัยบนโลกใบนี้ด้วยกันในฐานะพลเมืองโลกที่รู้อะไรๆ ต่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน สามารถทำลาย “มายาคติ” (ความปลงใจเชื่อแบบเดิมๆไร้เหตุผลที่ไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์) ให้พลเมืองโลกหูตาสว่างขึ้นในสิ่งลี้ลับและมีวิธีคิดที่เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์

            คนรุ่นใหม่และเก่าในปัจจุบันที่เข้าถึงเทคโนโลยีส่วนใหญ่จะมีวิธีคิดเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น หันหลังให้กับมายาคติเก่าๆ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาลจะ ให้ความสำคัญกับเรื่อง “อนาคต” ของตนเองและลูกหลานให้ความสนใจเรื่องการเมืองท้องถิ่น การเมืองระดับชาติมากขึ้น มีความต้องการประชาธิปไตย อิสรเสรีภาพ ความเท่าเทียม และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นโลกของอนาคตของเขาเอง… และลูกหลาน รวมทั้งทิศทางการพัฒนาประเทศของไทยในยุคการค้าเสรีและโลกไร้พรมแดน… ที่มีชาวต่างชาติเข้ามาชี้นำในการสร้างเงื่อนไขต่างๆ ในการพัฒนาประเทศอย่างที่เห็นและเป็นไปในปัจจุบัน

            เมื่อเราหันมามองการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติกันบ้าง ลองเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงไปมิใช่น้อย เชื่อว่านักการเมืองทุกคนหวังดีต่อชาติบ้านเมือง อย่างที่กล่าวแล้วว่า การเมืองกับเศรษฐกิจเป็นของปคู่กันสามารถพลิกโฉมของเมืองและประเทศได้หากมองให้ลึกๆจะพบว่าหากเรารู้เท่าไม่ทันเกมของการค้าการลงทุนของต่างชาติอาจเป็นทาสและเมืองขึ้นของต่างชาติโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

วันก่อนอ่านข้อมูลของ  ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส มีข้อมูลน่าสนใจการลงทุนของจีนในไทยดังนี้

ชาวจีนต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเขตใจกลางเมืองหรือ Central Business District (CBD) และทำเลเด่นๆ อีกบางแห่ง เช่น บริเวณถนนรัชดา-ลาดพร้าว บริเวณอ่อนนุช-สุวรรณภูมิ และบริเวณบางนา-เทพารักษ์ เพราะมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน คนจีนคงเคยชินกับการใช้ระบบขนส่งมวลชน และเป็นเส้นทางไปสนามบินสุวรรณภูมิได้โดยง่าย คนจีนแห่มาซื้อห้องชุดฯเป็นการแผ่อิทธิพลของจีนเข้ามาในประเทศไทย… ยิ่งกว่านั้นคนจีนมาสวมบัตรประชาชนคนไทยน่าจะมีจำนวนมหาศาล คนเหล่านี้กลายเป็นคนไทยไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป  ในต่างจังหวัด มีบ้านบางหลังมีคนชื่อเดียวกันนับร้อยคน บางคนก็สวมบัตรประชาชนคนตายเลยก็มี…

            คนจีนในสมัยก่อน…มาไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ หนีตายมาตั้งหลักแหล่งในต่างประเทศ และมีจำนวนมากที่หวังจะกลับไปบ้านเกิด แต่แล้วก็ตั้งรกรากในประเทศไทยเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในจีนในปี 2492 แต่จีนยุคใหม่ที่มาไทยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จีนยุคใหม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสารพัดให้ไปตั้งรกราก ให้ไปขยายอิทธิพลในต่างประเทศ  เช่น ที่จีนเคยทำสำเร็จมาแล้วในซินเกียง และทิเบต แต่ละคนที่มาได้เงินติดกระเป๋ามาพอสมควร ให้มีการรุกทำธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นล้งสารพัดสินค้าไทย หรือการมาเปิดกิจการโรงแรม หรือธุรกิจบริการต่างๆ เช่น นายหน้าอสังหาริมทรัพย์เป็นไปอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้บางส่วนยังมาฝังตัวอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศไทยแล้ว

            “ตนเอง ทราบจากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ว่า ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2563 นี้เป็นต้นมา จีนได้เข้าไปลงทุนซื้อห้องชุดในสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้นเขตใจกลางเมือง  และเขตชานเมืองมากขึ้น  ห้องชุดในสิงคโปร์เป็นเงินประมาณ 33 ล้านบาทไทย ในขณะที่ไทยมีราคาเฉลี่ย 4.0 ล้านบาท แถมต่างชาติที่ซื้อต้องเสียภาษีซื้อ 20-25% จีนยังมีซื้อกันใหญ่ ไทยเราไม่กำหนดราคาขั้นต่ำที่ซื้อได้ และแทบไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่คนไทยหรือคนทั่วโลกไม่อาจไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในจีน เพราะเขาให้คนจีนเองหรือใครก็ตามเช่าได้แค่ 70 ปีเท่านั้น

ตามพ.ร.บ.EEC ของไทย เราเปิดโอกาสให้จีนเข้ามาทำธุรกิจบริการได้ โดยสามารถซื้อห้องชุดได้ 100% สามารถเช่าที่ดินได้ 99 ปี สามารถพาญาติโยมมาได้ สามารถใช้เงินสกุลของตนเองได้ และได้สิทธิประโยชน์อีกมากมาย ดังนั้นอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกของไทยคงจะมีจีนมาซื้อมากกว่าชาติอื่น ดร.พรชัย ระบุในบทความ

ครับ…อ่านบทความที่ผมนำมาให้อ่านในวันนี้ ท่านเห็นอะไร …และมีความคิดอย่างไร  ภาคเหนือของเรา เชียงราย… ของเรา ที่อยู่ไม่ไกลจากจีนมากนักปัจจุบันเป็นอย่างไร….แม้ที่สามเหลี่ยมทองคำในเขตลาว จีนก็ขยายอาณานิคมแบบเนียนๆมาเช่าในลาวแล้ว 99 ปีเหมือนกันมีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างไม่หยุดยั้งอย่างผิดหูผิดตา…ในอนาคตจะเป็นเช่นไร…เราจะเตรียมการณ์อย่างไรไว้รองรับในความเป็นเอกราชของชาติไทย…

เพราะ “การเมืองและเศรษฐกิจเป็นของคู่กัน”…ฝากทุกคน นักวิชาการ นักปกครอง นักการเมืองทั้งหลายช่วยคิดด้วย…!!?



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า