คอลัมน์ » คุยกับ… ดร.ปรีชา

คุยกับ… ดร.ปรีชา

30 กรกฎาคม 2025
93   0

  1. การถูกทอดทิ้งในทัศนะของผู้สูงอายุ

ด้วยปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในชุมชนชนบทของไทย ที่มักจะพบอยู่เสมอว่าผู้สูงอายุอยู่บ้านเลี้ยงหลาน เฝ้าบ้าน ไม่ค่อยพบหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยแรงงานอาศัยอยู่ในบ้านหรือในชุมชน จึงเป็นประเด็นที่คณะผู้วิจัยต้องการทราบเหตุผลว่าทำไมจึงพบแต่ผู้สูงอายุเฝ้าบ้านเลี้ยงหลานกันมาก โดยมีข้อสงสัยว่า การที่ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งให้อยู่บ้านเลี้ยงหลานนั้นเพราะอะไร อาจมีคำตอบที่น่าสนใจว่าเป็นไปตามที่มีผู้ตั้งข้อสงสัย หรือไม่ว่าเป็นการถูกทอดทิ้ง โดยมีแนวคิดดังนี้

ประการแรก คือ การที่ผู้สูงอายุได้เลี้ยงหลาน ทำงานบ้าน และเฝ้าบ้านนั้น อาจทำให้ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาว่างในยามเกษียณอายุให้เป็นประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่สามารถลดความเครียด และเป็นภาระงานที่สามารถทดแทนสิ่งที่ผู้สูงอายุไม่ได้ทำงานประจำ การพิจารณาในเชิงบวกนี้ ย่อมจะเป็นผลดีต่อสภาพร่างกาย และจิตใจ ผู้สูงอายุจะได้เห็นว่าครอบครัว ลูกหลาน ยังให้ความสำคัญและเปิดโอกาสได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อชดเชยเวลาและมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ครอบคัวและส่วนรวม

ประการที่สอง การที่ผู้สูงอายุซึ่งเป็นบุคคลที่มีอายุมากแล้ว ยังคงต้องมีภาระรับผิดชอบต่อครอบครัวต่อไปนั้น จะเป็นการบีบบังคับให้ผู้สูงอายุทำงานอย่างต่อเนื่อง แทนที่จุได้พักผ่อนและมีวิถีชีวิตเช่นคนสูงอายุ ที่จำเป็นต้องละเว้นจากหน้าที่ประจำและยังอาจสร้างปัญหาต่อสุขภาพ เพราะการดูแลลูกหลานเล็กๆ และทำงานบ้านอาจก่อให้เกิดอันตรายแกตัวผู้สูงอายุ หรือเด็กเล็กที่ต้องดูแล ทั้งนี้เพราะความคล่องแคล่วว่องไวได้ถดถอยลงไป

ประเด็นที่ถามผู้สูงอายุให้ครั้งนี้ เป็นการถามแบบทางอ้อม โดยตั้งคำถามว่า “คนรุ่นใหม่ทอดทิ้งบิดา มารดา ที่สูงอายุจริงหรือไม่ เพราะพบแต่ผู้สูงอายุเฝ้าบ้านเลี้ยงหลานกันมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” เนื่องจากคำถามนี้เป็นคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นที่ผู้สูงอายุได้เคยรับรู้มาก่อนเหมือนกันที่ลูกหลานทิ้งผู้สูงอายุให้อยู่เฝ้าบ้าน เลี้ยงหลาน โดยที่ผู้สูงอายุหลายคนได้ปฏิเสธว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ปรากฏในหมู่บ้านของตน ผู้สูงอายุที่เป็นตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ได้แสดงความคิดเห็นและเหตุผลดังนี้

  1. ไม่เชื่อว่าลูกหลานจะทอดทิ้งผู้สูงอายุ

ปรากฏการณ์ที่พบเห็นว่ามีผู้สูงอายุอยู่เฝ้าบ้าน และเลี้ยงหลานเพียงลำพังไม่ถือว่าเป็นการทอดทิ้ง เพราะลูกหลานมีความจำเป็นต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ต้องทำงานนอกบ้าน ซึ่งอาจเป็นแบบไปเช้า-เย็นกลับ หรือไปทำงานในต่างถิ่น ไม่ถือว่าเป็นการละทิ้ง ผู้สูงอายุได้ให้เหตุผลว่าที่เป็นเช่นนี้เราะเป็นการแบ่งหน้าที่กัน เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นผู้ชราภาพ เมื่อไม่ต้องทำงานข้างนอกก็ต้องอยู่บ้าน การเลี้ยงดูแลหลานๆ ก็เช่นกัน เป็นการแบ่งเบาภาระงานในบ้าน เพราะลูกต้องหางานทำในที่ต่างๆ เพราะไม่มีการจ้างแรงงานในชุมชนหรือท้องถิ่นแต่บุตรหลานยังคงกลับมาบ้านทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือนถ้าหากบ้านใด มีโทรศัพท์ก็โทรมาสอบถามทุกข์สุขบ่อยๆ เงินทองที่ลูกหลานหาได้ก็ส่งมาให้ใช้เป็นประจำ การที่ลูกๆ ต้องไปทำงานที่อื่นๆ นั้น เป็นเพราะพวกเขามีการศึกษาสูง บางคนอยู่ไกลมากแต่ก็ได้ติดต่อกันอยู่เสมอ บางครั้งจะมาเยี่ยมทุกเดือน หรือปีละหลายๆ ครั้ง การที่เลี้ยงหลานให้ก็เพราะปัจจุบันนี้หาคนเลี้ยงเด็กที่ไว้ใจไม่ค่อยได้ การที่ได้มีโอกาสเลี้ยงหลานถือว่าเป็นการดีเพราะจะได้มีอะไรทำไปวันๆ ไม่เหงา ไม่ถือเป็นภาระใดๆ เพราะสามารถดูแลได้ดีกว่าคนอื่น รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายของลูกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับหลานๆ นับว่ามีความอบอุ่นใจ ทั้งตัวหลานๆ และผู้สูงอายุ ความผูกพันดังกล่าวไม่คือว่าเป็นการทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะหน้าที่การงานที่ลูกหลานต้องทำงานของตนเอง ถ้าอยู่บ้านด้วยกันทั้งหมดก็ต้องอดตายเพราะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย แม้ว่าลูกๆ จะอยู่ไกล ก็ถือว่าเป็นการออกไปทำมาหากิน เป็นความจำเป็นเพราะคนหนุ่มสาว แข็งแรง ส่วนคนแก่ ผู้สูงอายุก็สมควรพักผ่อนทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่กับบ้าน

ผู้สูงอายุที่ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ในชุมชนของตน ไม่มีใครทิ้งพ่อแม่ การที่ไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกันไม่ใช่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการทอดทิ้ง แม้ว่าลูกๆ จะไม่อยู่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนออกไปทำงานข้างนอกกันหมด ยังคงมีลูกลางคนที่อาศัยอยู่ร่วมกับพ่อแม่เพื่อปรนนิบัติและดูแล กรณีเช่นนี้ ผู้สูงอายุบางคนได้ให้เหตุผลว่าลูกคนโตหรือคนสุดท้องก็ได้ที่ควรอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ก็ยินดีที่จะยกมรดกที่ดิน บ้านเรือนให้ โดยกล่าวว่าเพื่อเป็นการฝากผีฝากไข้สำหรับผู้สูงอายุที่ลูกหลานออกไปทำมาหากินที่อื่นกันหมด ได้อธิบายว่า แม้ลูกๆจะไม่อยู่ก็ยังคงมีหลานไว้เป็นเพื่อน คอยดูแลก็เหมือนลูกๆ เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างกันเหมือนอยู่กับลูกๆ และถ้าหากไม่มีบุตรหลานก็ยังมีญาติๆ เพื่อนบ้านใกล้เคียงคอยดูแลอยู่ ความใกล้ชิดอยู่อย่างหนึ่งซึ่งยังคงพบเห็นอยู่คือ ถ้าหากลูกๆ ไม่ให้เลี้ยงหลานเพราะหลานโตแล้วต้องไปเรียนหนังสือ เวลาปิดเทอมลูกๆ จะพามาอยู่บ้านเสมอ จึงมีความรู้สึกว่าเมื่อสังคมเปลี่ยนไป จะต้องปรับตัวและต้องเข้าใจความเป็นจริง ลูกๆ เมื่อกลับมาพร้อมหลานและเอาเงินมาให้ ผู้สูงอายุจะได้รับความอบอุ่น แม้จะเป็นเพียงระยะสั้นๆ ก็พอใจและไม่เป็นภาระสำหรับคนแก่มากเกินไป

การที่ลูกหลานออกไปทำงานที่อื่นนั้น ไม่ถือว่าเป็นการทอดทิ้งโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ก็เพราะคนในชุมชนนี้ เป็นญาติ เป็นเพื่อนกันหมด คนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในหมู่บ้าน มีเพียงส่วนน้อยที่ออกไปทำงานที่อื่น ชีวิตความเป็นอยู่ก็ยังคงเหมือนเดิม การขาดสมาชิกในบ้านไหไม่มีความรู้สึกว่าเป็นปัญหาเพราะการเดินทาง การติดต่อสื่อสารสามารถทำได้โดยง่าย มีปัญหาหรือมีเหตุการณ์อะไรก็สามารถพูดคุยกันทางโทรศัพท์ได้

ผู้สูงอายุหลายคนได้ให้เหตุผลอย่างเดียวกันว่า คนรุ่นใหม่มีการศึกษาคนที่มีการศึกษาจะทำงานอื่นที่ไม่ใช่เกษตรกรรม เช่น การทำไร่ทำนา เมื่อโลกและสังคมเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาที่สำคัญก็คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น หากยึดเอาการอยู่ร่วมกันตลอดเวลาต้องอดตายเพราะไม่มีกิจกรรมใดๆ ที่จะดึงให้คนหนุ่มสาวอยู่ในชุมชน ถ้าหากไม่ไปทำงานในเมืองก็ไม่มีรายได้ ทุกคนต้องช่วยกันทำมาหากิน ต้องถือว่ายุคนี้เป็นยุคสมัยใหม่ แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังไม่ทิ้งพ่อแม่ แม้ต้องเดินทางไปเรียนหนังสือหรือทำงานก็ยังมีความผูกพันกับบ้านและพ่อแม่เหมือนเดิม

 

  1. เชื่อว่าอาจมีแนวโน้มที่ลูกหลานจะทอดทิ้งผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุที่แสดงความคิดเห็นว่า ต่อไปในอนาคตผู้สูงอายุอาจถูกลูกหลานทอดทิ้งได้ โดยยกตัวอย่างที่ได้เกิดขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่พบในหมู่บ้านหรือชุมชนของตน เพียงแต่คาดการณ์ว่าโอกาสที่จะเกิดย่อมเป็นไปได้ ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งได้ยกตัวอย่างการถูกทอดทิ้งว่า การถูกทอดทิ้งไม่ใช่การที่ลูกหลานไม่อยู่บ้าน เพราะไม่ใช่เป็นการทอดทิ้งเพียงไปทำงานที่อื่น ยังคงมีการติดต่อกันอยู่สม่ำเสมอ เร็วบ้าง ช้าบ้าง แล้วแต่ระยะทาง หรือภาระหน้าที่การงาน ผู้สูงอายุบางคนได้ยกตัวอย่างที่ลูกหลานทิ้งพ่อแม่ว่า ส่วนมากเป็นคนไม่ดี ติดยาเสพติด การให้ผู้สูงอายุอยู่บ้านเลี้ยงหลานไม่ถือว่าเป็นการทอดทิ้ง เพราะยังคงไปมาหาสู่กันอย่างปกติ และการที่พวกเขาไม่อยู่บ้านเพราะมีความจำเป็นต้องไปทำงานต่างถิ่น ดังนั้นผู้สูงอายุที่ตอบว่ามีแนวโน้มที่ลูกหลานจะทอดทิ้งไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ไม่อยู่บ้านกับพ่อแม่ การที่ทอดทิ้งนั้นสามารถแยกออกได้เป็น 2 ประเภทคือ

  1. การทอดทิ้งอย่างถาวร หรืออาจเรียกว่าเป็นการออกไปตั้งครอบครัวใหม่ของตนเอง ต้องละทิ้งพ่อแม่ให้อยู่ตามลำพัง เพราะหน้าที่ของลูกหลานจะต้องดูแลครอบครัวของตนเองก่อน พ่อแม่จะเป็นลำดับรองลงไป ความรู้สึกการถูกทอดทิ้งอาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความ การที่ลูกหลานแยกออกไปตั้งครัวเรือนใหม่ ก็เพราะต้องสร้างเนื้อสร้างตัว แต่บางกรณีพ่อแม่อาจทำตัวไม่เหมาะสม จึงต้องการหลีกหนีไปอยู่ที่อื่น ผู้สูงอายุหลายคนได้ยกตัวอย่างกรณีที่มีการทอดทิ้งคือ ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ บางครั้งอพยพไปอยู่ที่ไกลๆ ไม่มีเงินทองค่ารถค่าใช้จ่ายกลับมาดูแลพ่อแม่ เมื่อมีใครพบเห็นก็อาจเรียกว่าถูกทอดทิ้ง เพราะลูกหลานไม่มีใครเอาใจใส่ดูแล ต้องเป็นภาระของญาติพี่น้องและชาวบ้านที่ต้องช่วยกันดูแล การที่ลูกๆ ทอดทิ้งพ่อแม่นั้นอาจมีบ้างแต่คงไม่ใช่ทุกครอบครัว หากลูกๆ ละทิ้งพ่อแม่ก็เพราะขาดความกตัญญูรู้คุณ หรืออาจเป็นเพราะถูกเลี้ยงมาด้วยนมวัว ไม่ได้เลี้ยงด้วยนมแม่ จิตใจจึงไม่รู้จักคุณพ่อแม่ ทำให้ไม่ได้รับการถ่ายทอดจากสายเลือด ปัจจุบันการเลี้ยงดูลูกๆ แต่กต่างไปจากอดีตดังกล่าวที่ว่า “สมัยก่อนมีลูกถึง 10 คน พ่อแม่ก็เลี้ยงได้ แต่ปัจจุบันมีลูก เพียง 2-3 คนกลับเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้” ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากภาวะทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่บีบบังคับให้ทุกคนต้องประกอบอาชีพหาเลี้ยงชีวิต
  2. การทอดทิ้งชั่วคราว หมายถึงการให้พ่อแม่อยู่บ้านตามลำพังในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจช่วงเวลากลางวันหรือให้อยู่บ้านตลอดทั้งอาทิตย์ หรือรอบเดือนหนึ่งจะกลับมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง การละทิ้งผู้สูงอายุให้อยู่ในบ้านนี้ ถ้าลูกๆ ไปทำงานนอกบ้าน หรือบริเวณไม่ไกลนัก ก็จะไปเช้าเย็นกลับ ผู้สูงอายุบางคนได้ยกตัวอย่างกรณีที่มีลูกไม่ดีเป็นนักเที่ยว นักดื่ม หรือนักเลงการพนัน อาจทิ้งพ่อแม่ไปครั้งละหลายๆ วัน ปัญหาเหล่านี้อาจสร้างความลำบากใจให้แก่ผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุอาจต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เพราะเป็นผู้ที่หาเลี้ยงชีพตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพิงลูกหลาน นอกจากผู้สูงอายุที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่พอมีพอกิน ก็อาจไม่เดือดร้อนมาก ส่วนลูกๆ ที่เกเรหรือเป็นคนไม่ดีนอกจากจะไม่ดูแลพ่อแม่แล้วยังเบียดเบียนและพึ่งพิงพ่อแม่ไม่จบสิ้น

กล่าวโดยสรุป การที่พบผู้สูงอายุอยู่บ้านเลี้ยงหลานในชุมชนชนบทไม่ใช่เป็นการทอดทิ้งผู้สูงอายุให้อยู่ตามลำพัง แต่เป็นการแลกเปลี่ยนหน้าที่และบทบาทระหว่างผู้สูงอายุกับลูกๆ การอยู่บ้านเลี้ยงหลานจึงเป็นกิจกรรมที่ผู้สูงอายุส่วนมากพอใจ และถือว่าได้แลกเปลี่ยนและแบ่งเบาภาระของลูกหลานที่ต้องดิ้นรนทำมาหากินนอกบ้าน รวมทั้งลูกๆ ที่ต้องอพยพไปทำงานต่างถิ่นก็เพราะต้องประกอบอาชีพ ผู้สูงอายุยืนยันว่ายังมีความสัมพันธ์กันดียิ่ง มีการติดต่อ มาเยี่ยมเยียน ไม่ถือว่าเป็นการทอดทิ้งสร้างปัญหาแต่อย่างใด การอยู่ลำพังในหมู่บ้านอาจดูเหมือนโดดเดี่ยว แต่ก็ยังคงมีเพื่อน ญาติพี่น้อง ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังอยู่อย่างเดิม มีความโอบอ้อมอารีช่วยเหลือกันเช่นเดิม



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า