

หรือก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นั่นเอง ครั้งหนึ่ง เมื่อเริ่มเข้าสู่หนทางการปฏิบัติทางธรรม หลังจากพระอาจารย์สมบูรณ์ สุขวัฒโน พระอาจารย์ของผู้เขียน ละขันธ์แล้วหนึ่งในคณะเราได้ไปอุปถากหลวงปู่แสง ซึ่งเป็นอาจารย์พ่อของพระอาจารย์สมบูรณ์ หลายครั้งที่มีโอกาส ผู้เขียนก็จะติดตามไปด้วย ที่นี่ เราได้รับการสอนให้บริกรรมด้วย กรรมฐาน 5
กรรมฐาน 5 คือกรรมฐานที่พระบวชใหม่จะได้รับเป็นอันดับแรกในวันบวช เป็นกรรมฐานที่สอนให้ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานกลับมาพิจารณากายตนเอง เรียกชื่อว่า กายคตาสติ เป็นกรรมฐานในหมวดอนุสติในชุดกรรมฐาน 40 และถ้าเป็นหมวดสติปัฏฐาน 4 ก็จะจัดอยู่ในหมวดกายานุปัสนาสติปัฏฐานนั่นเอง
กรรมฐานหมวดนี้มีความสำคัญมากในการปฏิบัติทางจิต เป็นการฝึกจิตให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายว่าล้วนมีความไม่งาม มีความไม่เที่ยง มีความสกปรก เป็นสิ่งที่พอกพูนภายนอก ไม่ใช่ตัวตนของตน เพราะมีความแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงที่สุดก็ไม่สามารถคงทนอยู่ได้ ต้องผุพังแตกสลายทิ้งให้เราต้องหากายใหม่เป็นอยู่ต่อไป เพราะความเป็นเราไม่ยอมปล่อยนี่เองที่ส่งต่อชีวิตให้หาร่างใหม่ให้เกิดขึ้นอึกต่อไปไม่สิ้นสุดนั่นเอง
การฝึกกรรมฐานกองนี้ เมื่อถึงที่สุดจิตจะยอมรับความเป็นจริงของร่างกาย ว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ใจก็ส่วนหนึ่งที่เข้ามาประชุมกันด้วยเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยหมดก็แยกย้ายกันไป ความเข้าใจนี้ทำให้เกิดความหน่ายคลายจางต่อการเวียนตายเวียนเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งระหว่างทางแม้ไม่หวังจะได้แต่ก็จะได้ นั่นคือญาณอันเป็นเครื่องรู้ บางท่านเข้าไปรู้เห็นการเกิดชาติ ภพ ที่ผ่านมาได้ เรียกว่าเป็นของแถมจากการฝึกทางจิตนั่นเอง
การได้ฝึกตามแบบของหลวงปู่ หลวงปู่สอนให้เราบริกรรมด้วยคำว่า เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ แล้วย้อนหลังกลับมาว่า ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกศา ว่าย้อนกลับไปมาอยู่อย่างนี้ จนจิตลงสู่ภวังค์ ด้วยกำลังจิตที่ฝึกใหม่จึงเกิดความเพลินไหลลงภวังค์ เห็นตัวเองออกไปเดินอยู่นอกระเบียงบ้าง เห็นตัวเองหันหน้ามาเห็นหน้าตัวเองบ้าง
ด้วยสติที่ยังอ่อน กำลังสมาธิมีไม่มากพอ เมื่อเกิดเห็นภาพก็สะดุดวูบ กลับคืนสติออกมาจากสมาธิทุกครั้งไป เสียดายที่หลวงปู่พูดเสียงเบามาก จนไม่อาจฟังชัดได้ ตอนหลังจึงเลิกไปฝึกกับหลวงปู่ หลังฝึกกับหลงปู่ได้ไม่กี่ครั้ง เพราะกลัวตัวเองจะเกิดปฏิฆะ จนกลายเป็นปรามาสหลวงปู่โดยไม่ตั้งใจเอาได้จึงเลิกไปฝึกกับหลวงปู่ในที่สุด
จิตที่เข้าถึงสมาธิจนไหลเข้าภวังค์นี้ คืออาการที่ได้กล่าวถึงไปเมื่อครั้งก่อน นั่นคืออุปจารสมาธิหรือสมาธิเฉียดฌานคือยังเข้าไปไม่ถึงสมาธิในระดับฌาน ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปนั่นเอง สมาธิในระดับนี้จิตจะสามารถรู้ เห็นในสิ่งที่เหนือวิสัยที่สายตามนุษย์จะพึงเห็นได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงแล้วจิตบังเอิญเข้าไปเห็นได้ หรืออาจเป็นแค่สิ่งที่จิตหวังว่าจะได้เห็นบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองทางก็ยังไม่สามารถนำมาเป็นจริงเป็นจังได้ เพราะอาจไม่สามารถกำหนดให้เกิดขึ้นได้ตามความต้องการได้ เป็นได้แค่โผล่เข้ามาให้เห็นวับๆ แว้บๆเท่านั้น
แม้จะไม่สามารถเอาแน่นอนอะไรได้ก็จริง แต่อย่างน้อยการได้เข้าไปเห็นวับๆ แว้บๆ ก็เป็นเครื่องบอกให้รู้ว่าการฝึกจิตของผู้ฝึกได้ผ่านนิวรณ์ได้ระดับหนึ่ง และจิตเริ่มมีความละเอียดขึ้น ถ้าเพิ่มความสม่ำเสมอในการฝึกขึ้นย่อมมีโอกาสก้าวหน้าจนสามารถสร้างฌานในระดับลึกๆเข้าไปได้ จิตมีจะมีกำลังเพิ่มขึ้น มีความตั้งมั่นมากขึ้นจนสามารถเข้าถึงฐานจิตได้ในที่สุด
จิตที่เข้าถึงฐานของจิตได้ ก็เหมือนจิตมีบ้านเป็นของตนเอง เป็นที่ตั้งมั่น เป็นที่หลบภัยยามที่เกิดความหวั่นไหว ก็มีที่หลบภัยภายในให้ตนเอง นี่เองที่เรามักเห็นผู้ฝึกจิตมีความมั่นคง ไม่ค่อยตื่นตระหนก หรือหวาดกลัวต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า โดยเฉพาะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตที่มาเยือนอยู่เบืัองหน้า เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากการฝึกจิตทั้งสิ้น
ฐานจิต คือที่ตั้งของจิต เป็นจิตที่มั่นคงไม่หวั่นไหว และเป็นฐานที่มั่นสำหรับการพิจารณาธรรมในทางพุทธศาสนาเรียกว่า อุททัพยญาณ วิปัสสนาญาณต้นในวิปัสสนาญาณ 9 คือญาณอันเป็นเครื่องรู้ในความเกิดดับ ญาณทัศนะทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าจิตยังเข้าไม่ถึงฐานจิตนี้ ดังนั้น ผู้หวังในความพ้นทุกข์จึงต้องเข้าถึงฐานจิตนี้ก่อน เราจะค่อยๆพูดกันในอันดับต่อไป