คอลัมน์ » การดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจ บนพื้นฐานของความรู้ Humanized health care

การดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจ บนพื้นฐานของความรู้ Humanized health care

27 ธันวาคม 2024
164   0

การดูแลรักษาคนไข้นั้นไม่ใช่เพียงแค่รักษาโรคหรือความเจ็บป่วยที่เป็นเท่านั้น ควรคำนึงถึงความเป็นคนด้วยโดยเฉพาะต้องเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคนของคนไข้ การสื่อสารระหว่างคนไข้และญาติกับทีมแพทย์ผู้ให้การรักษาจึงมีความสำคัญ เพื่อให้ทราบแนวทางการรักษาคนไข้ โดยเฉพาะคนไข้ที่มีอาการรุนแรง เกิดภาวะแทรกซ้อนง่ายหรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจะต้องมีการเฝ้าติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด เมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลงในทางที่เลวลงหรือผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ จะต้องมีการพูดคุยและหารือกันในการพิจารณาแนวทางการรักษาใหม่ จะทำให้คนไข้และญาติมีความเข้าใจพร้อมกับเตรียมใจไว้สำหรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น สำคัญที่จะต้องเข้าใจถึงภาวะจิตใจของคนไข้และญาติโดยเฉพาะในระยะสุดท้ายที่จะต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆอันเป็นที่รัก

ไม่นานมานี้ผมมีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จักผูกพันกันมานาน ปีกลายป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมธัยรอยด์ซึ่งผมได้แนะนำให้ไปทำการผ่าตัดและฉายรังสีที่รพ.ในกทม.

หลังการรักษาสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ดีร่วมปี ต่อมามีอาการไอและเหนื่อยจึงได้ไปพบแพทย์ ได้รับการตรวจเอกเรย์ปอด พบว่ามีก้อนขนาดราว7ซม.ที่บริเวณขั้วปอด จึงได้กลับไปพบแพทย์ที่รพ.เดิม แต่เปลี่ยนเป็นแพทย์อีกแผนกหนึ่ง(ด้านปอด)ดูแล จากเดิมที่เป็นทีมแพทย์ทางหูคอจมูกและรังสีรักษา คนไข้เข้านอนรพ.ร่วมเดือนเศษเพื่อรอการตรวจวินิจฉัยซึ่งแพทย์ผู้รักษาพยายามเก็บชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจยืนยันว่าเป็นมะเร็งชนิดเดิมหรือเป็นมะเร็งปอดโรคใหม่ ถ้าเป็นชนิดเดิมก็ให้เพียงการรักษาแบบประคับประคองแต่ถ้าเป็นมะเร็งปอดก็พิจารณาให้ยาเคมีบำบัด แพทย์ทำการส่องกล้องทางหลอดลมเพื่อเก็บชิ้นเนื้อหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ คนไข้เริ่มมีอาการซึมเศร้าอยากกลับบ้านเนื่องจากรู้สึกเบื่อ เหงาและคิดถึงบ้าน แต่ในใจก็ยังคงหวังว่ายังมีโอกาสรักษาหาย และอยากทำผ่าตัดเนื่องจากมีความเชื่อว่าผ่าแล้วจะหาย(เหมือนครั้งก่อนเป็นมะเร็งธัยรอยด์ผ่าตัดแล้วรู้สึกดีขึ้น) แพทย์ที่มาดูแลทุกวันเป็นแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งซึ่งจะหมุนเวียนกันตามตารางการทำงาน จึงไม่ค่อยได้ข้อมูลอะไรนักเพราะเป็นเหมือนคนกลางที่ต้องสอบถามอาจารย์ที่เป็นแพทย์ผู้รักษาก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ แต่แล้วในขณะที่ญาติตัดสินใจว่าจะพากลับบ้าน กำลังติดต่อรถพยาบาลให้ไปส่งถึงเชียงรายก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทำให้คนไข้เสียชีวิตอย่างกระทันหัน เป็นเหตุให้ญาติทำใจไม่ได้ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็คงรักษาไม่ได้  แต่ก็อยากพากลับไปตายที่บ้าน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทีมแพทย์ผู้รักษากับญาติซึ่งไม่ค่อยดีอยู่แล้วขาดสะบั้นลง เกิดความคลางแคลงใจในสาเหตุการเสียชีวิต ต้องการให้มีการสอบหาความจริง ซึ่งผมได้ขอทางญาติรอให้เสร็จงานศพแล้วค่อยว่ากัน

คนไข้รายนี้ผมได้ฝากทางผู้บริหารรพ.ที่ทำการรักษาซึ่งสนิทกันให้ช่วยดูแลเป็นกรณีพิเศษด้วยด้วย เนื่องจากอยู่ไกลจากบ้านและไม่มีคนรู้จักที่กทม.มากนัก แต่ก็ยังเกิดความไม่พึงพอใจเช่นนี้ได้

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ทุกวันในรพ.ของรัฐขนาดใหญ่ ขณะที่รพ.เอกชนก็กำลังมีปัญหากับการยืดเวลาตายให้คนไข้ในหอผู้ป่วยหนัก(ICU) ซึ่งความจริงคนไข้ส่วนใหญ่ไม่รู้สึกตัว บางคนอยู่ในระยะสุดท้ายหรือเป็นโรคที่รักษาไม่ได้แล้ว การใช้เครื่องมือช่วยยืดชีวิตอาจยืดเวลาไปได้อีกไม่กี่วันในที่สุดก็ต้องเสียชีวิต แต่ญาติต้องหมดเงินค่ารักษาพยาบาลอีกมากมาย ทำให้เดือดร้อนคนที่ยังมีชีวิตต้องหาเงินมาจ่ายให้กับทางรพ. ผมคิดว่าคนเราแม้เกิดมาไม่เท่ากันแต่เมื่อถึงเวลาตายควรเป็นการจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี ผมถือว่าการจากไปนั้นควรเป็นไปอย่างไม่เจ็บปวดและทรมาน บนเตียงที่เคยนอน ในบ้านที่เคยอยู่มาตลอดชีวิตและจากไปท่ามกลางญาติสนิทมิตรสหาย จึงควรมีการปรึกษากันระหว่างทีมผู้รักษากับผป.และญาติ โดยแพทย์เจ้าของไข้ที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับคนไข้ดีที่สุดเป็นผู้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดโดยคำนึงถึงคนไข้เป็นสำคัญแล้วให้คนไข้และญาติร่วมตัดสินใจ ไม่ควรทอดทิ้งคนไข้ไว้กับแพทย์ฝึกหัดหรือแพทย์ประจำบ้านที่ยังไม่มีประสบการณ์หรืออำนาจตัดสินใจใดๆหรือเพียงแค่หวังผลประโยชน์จากการเจ็บป่วยของคนไข้เท่านั้น

ผมกล่าวเน้นให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเสมอๆว่าคนเรานั้นไม่มีใครที่จะไม่ตาย สักวันหนึ่งเราก็ต้องนอนทอดล่างลงเช่นคนไข้ที่จากไปเช่นกัน จึงขอให้ทุกคนดูไว้เป็นตัวอย่าง คนที่จากไปกำลังสอนเราให้เข้าใจถึงสัจธรรมนี้ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร จะยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยเพียงใดก็ต้องตายเหมือนกัน จึงควรมุ่งทำความดีสร้างบุญบารมีให้มาก สมบัติล้ำค่าต่างๆที่เราสะสมไว้นั้นเมื่อตายไป ไม่สามารถที่จะนำอะไรติดตัวไปได้เลย มีแต่คุณความดีที่ทำไว้เท่านั้นที่จะติดตัวเราไป

ผมขอให้ทุกคนให้เกียรติร่างของคนไข้ที่จากไป ต้องกล่าวขอขมาที่เราอาจทำอะไรล่วงเกินร่างกายของเขาในขณะยังมีชีวิต และควรปฏิบัติกับร่างกายของเขาให้ดีเหมือนกับยังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นการถอดเครื่องมือทางการแพทย์ เช่นสายสวนปัสสาวะ ท่อช่วยหายใจ การเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายหรือแม้แต่การเข็นร่างผู้ตายไปเก็บไว้ใน “ห้องเก็บศพ” เพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้ที่จากไปเป็นครั้งสุดท้าย

ผมจะพูดกับร่างผู้ตายอยู่เสมอเมื่อทำการเคารพศพหรือในพิธีรดน้ำศพว่า

“ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างสมบูรณ์แล้ว ขอให้พักผ่อนอย่างสงบและได้พบกับความสุขที่แท้จริงในสัมปรายภพ” และจะบอกกับญาติว่า “คงไม่ใช่เวลาที่จะมาโศกเศร้า ให้มากเกินไป ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านสมบูรณ์แล้วในชีวิตนี้ ให้ท่านได้จากไปอย่างสงบ และต่อจากนี้ไปขอให้พวกเรามุ่งทำความดีเพื่อให้ดวงวิญญาณของท่านภูมิใจ”

ถ้าพวกเราทุกคนที่มีหน้าที่ดูแลรักษาคนไข้ทำได้เช่นนี้แล้ว ผมเชื่อว่ากุศลผลบุญและบารมีจะเกิดขึ้นกับตัวเราและคนในครอบครัวอย่างแน่นอน

“ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ด้วยความระมัดระวังและด้วยความปรารถนาดีทำงานด้วยหัวใจและมีความสุขจากงานที่ทำตลอดไป”

“ขอบคุณที่เป็นคนดี”

นพ.พิษณุ ขันติพงษ์



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า