คอลัมน์ » 2.อะไรเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต?

2.อะไรเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต?

9 พฤษภาคม 2024
279   0

ก่อนที่จะเล่าถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต ผมอยากเล่าถึงจุดหักเหของชีวิตที่เกิดขึ้นกับตัวผมก่อน ในชีวิตของทุกคนผมเชื่อว่ามีจุดหักเหของชีวิตเกิดขึ้นหลายครั้ง บางครั้งเราไม่ได้เลือกหรือเลือกไม่ได้ แต่บางครั้งเราเป็นคนเลือกเอง

ตอนเด็กผมเรียน โรงเรียนอัสสัมชัญ ลำปาง ตั้งแต่เริ่มเปิด ได้เลขประจำตัว 800 พอดี ช่วงนั้นการเรียนของผมขึ้นๆลงๆแล้วแต่ความตั้งใจหรือความขยัน คะแนนสอบอยู่ระหว่าง 60-80%  เมื่อไหร่การเรียนตกบราเธอร์สก็จะเชิญผู้ปกครองไปพบ ตัวผมมักถูกหักคะแนนความประพฤติเนื่องจากหลับในเวลาเรียนบ่อยๆ (ที่บ้านมีทีวี 24 ขาวดำแห่งแรกในระแวกนั้น ทุกคืนจะมีเพื่อนบ้านมาดูกันตั้งแต่เปิดสถานีตอนพลบค่ำ สมัยนั้นมีช่อง 4 บางขุนพรหมช่องเดียว ทดลองออกอากาศ ตั้งแต่พลบค่ำและปิดสถานีเวลา 22 นาฬิกา) ผมเลยต้องนอนดึกไปด้วย

จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถมปีที่ 7 แม่จึงขอร้องให้ตั้งใจเรียนเพราะปีการศึกษาหน้าจะขึ้นชั้น มศ.1 เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ แม่บอกว่าผมเป็นพี่คนโตถ้าตั้งใจเรียน น้องๆจะเอาเป็นแบบอย่าง ทำให้ผมได้คิด มีความตั้งใจจะเรียนให้ดีขึ้น

ผมเริ่มด้วยการเอาหนังสือชั้น ป.7 ทุกวิชามาอ่านทบทวนใหม่ ทั้งที่สอบเสร็จปิดเทอมแล้ว และขอให้แม่ซื้อหนังสือชั้น มศ.1 มาให้อ่านตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอม จำได้ว่าช่วงแรกขอให้แม่ปลุกตี 5ทุกวัน เพื่อลุกขึ้นอ่านหนังสือ (ใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะลุกขึ้นได้ จนติดเป็นนิสัยถึงปัจจุบัน)

ผมจะอ่านหนังสือล่วงหน้าก่อนไปเรียน ขีดเส้นใต้ตรงที่สำคัญ อะไรที่ไม่เข้าใจจะบันทึกไว้ถามครู กลับจากโรงเรียนจะทบทวนอีกครั้งจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วทำโน้ตย่อไว้ เมื่อใกล้สอบหรืออยากทบทวนก็จะอ่านเฉพาะโน้ตย่อ ทำจนเป็นนิสัยจนเรียนจบแพทย์

ตั้งแต่ชั้น มศ.1 การเรียนผมไม่เคยตกเลยและเป็นจริงเหมือนที่แม่บอก น้องๆทุกคนต่างตั้งใจเรียน คะแนนดีขึ้นทุกคน

จบ มศ.3 ผมเดินเข้าเรียนต่อชั้น มศ.4 ที่โรงเรียนมงฟอร์ต เชียงใหม่ โดยไม่ต้องสอบเพราะผลการเรียนดี และอยู่ในเครืออัสสัมชัญด้วยกัน พ่อพาไปมอบตัวเรียบร้อยแล้ว เวลานั้นเป็นช่วงที่แม่เริ่มป่วย ผมจึงอยากเรียนใกล้บ้าน เพื่อจะได้อยู่ใกล้แม่ แต่แม่ขอร้องให้ไปลองสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่กรุงเทพ เพราะสมัยคุณอาของผมเคยไปสอบแล้วไม่ได้

ผมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมได้ แม่จึงขอให้ไปเรียนเพราะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง แม่ภูมิใจมากที่ผมสอบเข้าได้ ผมไม่อยากขัดใจแม่ จึงถือเป็นจุดหักเหที่สำคัญอีกครั้ง คุณแม่ผมเสียชีวิตขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้น มศ.4 แม่บอกให้ผมเรียนแพทย์เหมือนอา เพื่อช่วยรักษาคนไข้ที่มีมาก แต่หมอมีน้อย

วันที่เขียนใบสมัครสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ผมเลือกไม่ถูกระหว่างแพทย์กับวิศวะ มั่นใจว่าสอบติดแน่นอน ใจหนึ่งอยากเรียนวิศวะเพราะชอบคำนวณและเรียนแค่ 4 ปี จะได้ผ่อนเบาภาระให้ทางบ้าน แต่อีกใจหนึ่งก็รับปากกับแม่ว่าจะเรียนแพทย์ จำได้ว่าเผลอหลับฟุบกับโต๊ะ ฝันว่าแม่มาบอกให้เรียนแพทย์ (เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฝันถึงแม่) ตื่นมาเขียนใบสมัครเลือกแพทย์ทั้ง3 สถาบันที่มีในเวลานั้นเป็นอันดับต้นเลือกวิศวะเป็นอันดับถัดไป

ผมสอบติดคณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อเรียนจบแพทย์แล้ว ต้องเป็นแพทย์ฝึกหัด 1 ปี จึงจะได้ใบประกอบโรคศิลป์เป็นแพทย์เต็มตัว เดิมวางแผนจะเป็นแพทย์ฝึกหัดที่ รพ.สวนดอก ชม. และเทรนต่อทางศัลยกรรม เพื่อเป็นอาจารย์(มีอาจารย์ภาควิชาศัลยกรรมทาบทาม) พอดีเกิดปัญหาความไม่สงบในภาควิชาศัลยฯ ผมจึงเปลี่ยนแผนไปเป็นแพทย์ฝึกหัดที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี

ปกติแพทย์ฝึกหัดที่นี่จะมีช่วงเวลาให้เลือกไปฝึกงานที่ รพ.อื่น 2 สัปดาห์ ส่วนใหญ่จะเลือกไปอยู่แผนกวิสัญญี รพ.ราชวิถี พอดีช่วงนั้นผมกำลังจีบหมอพัชรี ไม่อยากไปไกลจึงเลือกไปอยู่ที่รพ.พระศรีมหาโพธิ์ เป็น รพ.จิตเวช ที่อุบลฯ (เป็นแพทย์ฝึกหัดคนแรกและน่าจะเป็นคนเดียวที่เลือกมาที่นี่) ผู้อำนวยการ รพ. มีความประทับใจในตัวผมมาก ขอให้ผมไปเทรนจิตเวช เพื่อกลับมาทำงานที่รพ. เพราะขณะนั้นมีจิตแพทย์แค่ 2 คน ทั้งรพ. ผมได้ตอบตกลงพร้อมกับเสนอชื่อเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าให้เรียนต่อที่ รพ.สมเด็จเจ้าพระยา หลังจบแพทย์ฝึกหัดโดยไม่ต้องใช้ทุน (ตามระเบียบต้องทำงานใช้ทุน 1 ปี ถึงไปเรียนต่อจิตเวชได้) แต่สุดท้ายแล้วอธิบดีกรมการแพทย์ไม่อนุมัติ ต้องเป็นไปตามระเบียบ ผมจึงไม่ได้ไปเป็นจิตแพทย์

พอใกล้จบแพทย์ฝึกหัด ทางรพ.สรรพสิทธิประสงค์แจ้งให้ทราบว่าทางคณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น จะขยายวิทยาเขตมาที่อุบลฯ ให้ทุนแพทย์ไปเรียน 2 ทุน (ทางศัลยกรรมและสูติกรรม) เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ ทางรพ.พิจารณาแล้วคัดเลือกเอาผมกับเพื่อนสนิท แต่ต้องจับฉลากมาอยู่อุบลราชธานีให้ได้ก่อน ผมจับฉลากไม่ได้ ถือเป็นจุดหักเหของชีวิตที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง

เพื่อนสนิทผมยอมสละสิทธิ์ไม่อยู่อุบลฯทั้งที่จับฉลากได้ เพราะตั้งใจจะไปด้วยกัน จึงตกลงกันว่าจะเลือกไปอยู่ในรพ.ที่ไม่ต้องจับฉลาก พบว่าหลังจับฉลากรอบแรกแล้วมีแต่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ไม่มีใครสมัครเลย เพื่อนจึงเลือก รพ.ยะลา และให้ผมไปอยู่ รพ.เบตง เป็นจุดหักเหอีกครั้งที่สำคัญในชีวิต (ยังจำได้ว่าตอนที่โทรศัพท์ทางไกลไปบอกพ่อว่าต้องไปรับราชการที่ รพ.เบตง พ่อถามว่า รพ.นี้อยู่ที่ไหน ผมบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เคยเรียนภูมิศาสตร์ว่าเป็นอำเภอใต้สุดของประเทศ พ่อให้กำลังใจผมว่า “ไม่เป็นไรนะลูก ยิ่งอยู่รพ.ที่ห่างไกล ในที่ที่ขาดแคลน ชีวิตลูกยิ่งมีคุณค่า”) และผมก็ทำงานที่ รพ.เบตง อย่างมีความสุขจนใช้ทุนครบ 2 ปี

เมื่อใช้ทุนครบ 2 ปี จะไปเรียนต่อ ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี ชอบผ่าตัดและชอบดูแลผู้ป่วยเด็กๆ อยู่ รพ.เบตง ผมผ่าตัดตั้งหัวจรดเท้า พอดีขณะนั้นมีทารกแรกเกิดอายุเพียง 1 วัน เป็นโรคทางเดินอาหารอุดตันแต่กำเนิด (congenital pyloric stenosis) จะส่งต่อไปให้กุมารศัลยแพทย์ที่ รพ.มหาลัยสงขลานครินทร์ก็ไม่ได้ เพราะช่วงนั้นสถานการณ์ไม่สงบ การเดินทางไม่ปลอดภัย จึงต้องตัดสินใจทำผ่าตัดที่ รพ.เบตง ปรากฎว่าเด็กรอดปลอดภัย หายเป็นปกติ จึงตัดสินใจเลือกจะเรียนศัลยกรรมเด็ก เพื่อช่วยผ่าตัดเด็กที่พิการแต่กำเนิดให้หายขาดได้ สมัครเป็นแพทย์ประจำบ้านที่แผนกศัลยกรรมเด็ก รพ.เด็ก โดยเอาทุนของ รพ.ลำปาง ซึ่งเป็นบ้านเกิด

วันไปสมัครที่แพทยสภาปรากฏว่าทุนศัลยกรรมเด็ก รพ.ลำปาง ถูกยกเลิกให้กับโรงเรียนแพทย์ที่เปิดใหม่ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปเรียนสูตินรีเวชกรรมที่ รพ.ราชวิถี โดยเอาทุน รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์แทน

ถือเป็นจุดหักเหครั้งใหญ่ในชีวิตที่มาเป็นหมอสูตินรีเวช เมื่อเรียนจบได้รับวุฒิบัตรทางสูตินรีเวช ไปทำงานใช้ทุนที่ รพ.เชียงรายฯ ทาง รพ.ราชวิถี เรียกตัวกลับไปเป็นอาจารย์ (ผมสอบวุฒิบัตรสูตินรีเวชได้ที่สองของประเทศ) แต่ทาง รพ.เชียงรายฯขอให้อยู่ทำงานที่นั่นก่อนสัก 1-2 ปี  พอเริ่มทำงานแล้วก็สนุกกับงานที่ทำ ได้ริเริ่มงานด้านอนามัยแม่และเด็กเพื่อแก้ปัญหาที่พบและได้ขยายไปทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เป็นแห่งแรก สามารถแก้ไขปัญหาทางแม่และเด็กจนเป็นที่ยอมรับและเป็นแบบอย่างให้ทุกแห่งทั่วประเทศ จึงไม่ได้คิดย้ายไปที่ไหน

ช่วงที่เริ่มทำงานอยู่ รพ.เชียงรายฯ อาจารย์ที่ทำงานอยู่ รพ.เอกชน ที่มีชื่อเสียงที่ กทม. ชวนไปทำงานด้วยโดยเสนอรายได้ขั้นต่ำมากเป็น 20 เท่าของรายได้ที่ได้รับจากทางราชการ (เงินเดือนและค่าอยู่เวรในขณะนั้น) ผมคิดดูแล้วอยู่ที่นั่นตรวจคนไข้วันละสิบคน ทำผ่าตัดเดือนละ 5-10 ราย ในขณะที่ รพ.เชียงรายฯ ตรวจคนไข้วันละ 80-100 คน ผ่าตัดเดือนละ 40-50 ราย คุณค่าของการเป็นแพทย์ต่างกันมาก จึงปฏิเสธอาจารย์ อยู่ทำงานที่ รพ.เชียงรายฯ มาตลอดจนไปเป็น ผอ.รพ.น่าน จนเกษียณ

ชีวิตผมถือว่ามีจุดหักเหหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งไม่ได้เลือก บางครั้งก็เลือกเอง แต่ผมคิดอยู่เสมอว่าคงมีจุดหมายปลายทางชีวิตที่ดีรอเราอยู่ ขอเพียงไม่ท้อแท้และตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด มีความศรัทธาในการทำความดี

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของผมเริ่มเมื่ออายุ 40 ปี ตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตเรามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ผมเริ่มถามตัวว่า “คนเราเกิดมาทำไม?” ผมเชื่อว่าหลายคนเคยถามเช่นเดียวกัน เพื่อนแพทย์รุ่นเดียวกันก็ถามผมเหมือนกันว่า What is life?

ในขณะที่กำลังพยายามค้นหาคำตอบ พอดีมีการจัดประชุมวิชาการงานอนามัยแม่และเด็ก จ.เชียงรายประจำปีที่โรงแรมแห่งหนึ่งโดยมีผมเป็นประธาน ให้ รพ.ทุกแห่งนำเสนอปัญหาแม่และเด็ก มีผมพร้อมกับทีมงาน รพ.เชียงรายฯ และสสจ.เป็นผู้วิพากษ์

วันนั้น รพ.ขุนตาล (รพ.เปิดใหม่) มีหมอหนุ่มเพิ่งจบกับพยาบาลสาว 2 คน ขึ้นมานำเสนอ บอกกับที่ประชุมว่าที่ อ.ขุนตาล มีหมู่บ้านชาวม้ง อยู่บนภูเขา ไม่นิยมฝากครรภ์ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเวลามาคลอด ทางรพ.จึงแก้ปัญหาโดยจัดหน่วยฝากครรภ์เคลื่อนที่ออกไปตรวจที่หมู่บ้าน ไปครั้งแรกเหมือนฟ้าแกล้งรถเสียระหว่างทาง แพทย์พยาบาลต้องช่วยกันขนของขึ้นไปบนดอย กว่าจะตรวจเสร็จก็เย็นแล้ว ผู้ใหญ่บ้านไม่ให้กลับ จัดที่พักให้ ทุกคนเดินสำรวจพบว่าชาวม้งเลี้ยงไก่และปลูกผักมาก จึงมีไข่และผักสดมาก แต่แม่บ้านชาวม้งทำเป็นแต่ต้มไข่ ต้มผัก แพทย์พยาบาลจึงลงมือทำกับข้าวให้ม้งทาน มีไข่ดาว ไข่เจียว ผัดผัก ตบท้ายด้วยไข่หวาน

ผมยังจำใบหน้าและน้ำเสียงของหมอหนุ่มที่มาเล่าให้พวกเราฟังได้ดี เธอบอกว่า “วันนั้นคนม้งทานกันอย่างเอร็ดอร่อย นับแต่นั้นมาไข่หวานกลายเป็นของหวานประจำหมู่บ้านม้ง”

ผมกำลังนั่งคิดว่าเราเกิดมาทำไม แต่นี่แพทย์พยาบาลไปทำกับข้าวให้ม้งทาน ผมปิ้งเลยทันทีว่า “คนเราเกิดมา เพื่อทำสิ่งที่ดีงาม”

แพทย์พยาบาลไม่จำเป็นต้องรักษาแต่คนไข้ อะไรที่เป็นสิ่งดีงามทำได้หมด วันนั้นผมวิพากษ์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและร้องไห้ด้วยความปิติที่ได้พบคำตอบแล้วว่าคนเราเกิดมาทำไม? ต้องขอบคุณทีมงานรพ.ขุนตาล ที่ทำให้ได้คำตอบ ผู้เข้าร่วมประชุมร่วม 300 คน ต่างร้องไห้ด้วยความปิติไปด้วย ทุกวันนี้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นยังจำได้ดีถึงความรู้สึกในขณะนั้น

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมเปลี่ยนความคิดตัวเอง ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเพียงแพทย์ที่รักษาคนไข้ หรือสนใจแต่หาเงินให้เงินในบัญชีมีเพิ่มขึ้น แต่เกิดมาเพื่อทำทุกอย่างที่เป็นสิ่งดีงามที่ผมสามารถทำได้  เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ผมได้ริเริ่มงานขึ้นหลายๆอย่างเช่นการดูแลสตรีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ (ถูกข่มขืน) แบบครบวงจร เป็นประธานศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่ไม่หวังผลกำไร “บ้านสคูล” (ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตวัยรุ่น) เป็นประธานกรรมการสงเคราะห์สถานพินิจเด็กและเยาวชนเชียงราย ตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการ เป็นอยู่2สมัย จนกระทั่งย้ายไปเป็นผอ.รพ.น่านจึงเปลี่ยนให้คนอื่น และยังมีบทบาทอื่นๆอีกมากมาย

ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ทำให้ผมมีความสุขกับการทำงาน ทำสิ่งดีงาม ทำให้ชีวิตมีคุณค่า จึงมีคนมากมายรักและศรัทธาในตัวผมทั้งในวงการแพทย์ สาธารณสุขและนอกวงการ

ผมขอให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้แล้ว คิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมาและถามตัวเองว่าคนเราเกิดมาทำไม เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อทำให้ชีวิตมีคุณค่าเช่นไร

สุดท้ายแล้วเราจะมีความสุข ความภูมิใจในชีวิต เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากไปอย่างแน่นอน

 

นพ.พิษณุ ขันติพงษ์

ข้าราชการบำนาญของแผ่นดิน



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า