คอลัมน์ » คุยกับ… ดร.ปรีชา

คุยกับ… ดร.ปรีชา

9 พฤษภาคม 2024
184   0

  1. การเผชิญความโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุ

ในสังคมชนบททั่วไปมักจะพบเห็นผู้สูงอายุใช้เวลาส่วนใหญ่ อยู่กับบ้านเลี้ยงหลานหรือทำงานบ้าน การที่ผู้สูงอายุต้องอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพราะภาวะความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ที่สมาชิกในครอบครัว ต้องทำงานอื่นนอกเหนือจากงานภาคเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันแบบแผนการประกอบอาชีพมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่เป็นการทำนาทำไร่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นบรรดาสมาชิกใจครอบครัวต่างต้องแสวงหางานทำในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปจากถิ่นที่อยู่อาศัย บรรดาบุตรหลานที่ออกไปทำงานที่อื่นๆ จะเป็นทั้งไปชั่วคราวและถาวร ผู้ที่ไปทำงานนอกบ้านชั่วคราว จะมีทั้งไปเช้าเย็นกลับ หรือกลับมาอยู่กับครอบครัวทุกๆ สัปดาห์ หรือเดือนละครั้ง ดังนั้นจึงทำให้ผู้สูงอายุต้องอยู่บ้านตามลำพัง

การศึกษาครั้งนี้ต้องการทราบว่าผู้สูงอายุมีความรู้สึกอย่างไรต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันที่บุตรหลานทำงานนอกบ้านปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพังที่บ้าน โดยการตั้งคำถามว่า “ท่านมีความรู้สึกโดดเดี่ยวและมีใครไปมาหาสู่หรือไม่ ผู้คนเหล่านั้นเป็นใคร สนทนาพูดคุยเรื่องอะไร และสถานที่ใดเป็นที่พบปะของผู้สูงอายุเสมอๆ” เหตุผลของคำถามนี้เพื่อจะทราบว่า ผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้ใดอีก นอกเหนือจากบรรดาสมาชิกภายในบ้าน คำว่า “โดดเดี่ยว” เป็นคำที่นำมาใช้อธิบายพฤติกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุในชนบทไทยได้หรือไม่ ลักษณะของความหมายนี้จะมีความชัดเจนในสังคมตะวันตก ที่ผู้สูงอายุต้องอยู่ลำพังในบ้านของตนเอง ห้องพัก สถานสงเคราะห์ หรือไปอยู่โรงพยาบาลที่ในแต่ละวันจะพบเพียงพยาบาลหรือนักสังคมสงเคราะห์เท่านั้น แต่ในสังคมไทยโดยเฉพาะในชนบทผู้สูงอายุอาจมิได้อยู่เพียงลำพังแต่ยังมีบุคคลอื่นๆ ได้แก่ ญาติ เพื่อนและลูกหลาน ความสัมพันธ์ทางสังคมจึงน่าจะมีความแตกต่างกันด้วยเหตุผลดังกล่าว การวิจัยครั้งนี้จึงให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมการอยู่อาศัยการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้สูงอายุว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร เรื่องอะไร และการสอบถามด้วยคำที่ไม่กำกวม มีความชัดเจนของคำว่า “โดดเดี่ยว” นั้น ผู้สูงอายุจะสะท้อนความรู้สึกได้อย่างไร

ผลการศึกษาครั้งนี้ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยืนยันว่าไม่รู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว โดยให้เหตุผลว่า แม้จะดูว่าโดดเดี่ยวจากสายตาของคนภายนอก แต่ความจริงจะมีเพื่อนบ้านมาเยี่ยมพูดคุยที่บ้านอยู่เสมอ ถ้าวันใดไม่มีใครมาหาที่บ้านก็จะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนๆ เอง ผู้สูงอายุบางคนที่เพื่อนร่วมรุ่นตายจากไป ก็ยังคบค้าสมาคมกับเพื่อนรุ่นพี่หรือรุ่นน้องอยู่เสมอ ถ้าไม่ใช่เป็นเพื่อนๆ ก็ยังมีญาติพี่น้องที่อยู่ในหมู่บ้านมาเที่ยวหาเยี่ยมเยียนกันตลอด ส่วนมากจะพบกันที่วัด ส่วนลูกหลานที่ออกไปทำงานที่อื่น ก็กลับมาเยี่ยมและมาพักค้างที่บ้านเสมอ บางคนกลับมาหาทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือนที่เป็นเช่นนี้ เพราะบุตรหลานบางคนทำงานในกรุงเทพ หรือจังหวัดที่อยู่ไกลๆ สำหรับบุตรหลานที่มาไม่บ่อยทุกเดือน อย่างน้อยจะมาเยี่ยมทุกปี โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่สงกรานต์ หรือช่วงที่เป็นวันหยุดนานๆ การมาเยี่ยมของลูกหลาน ถือว่ายังให้ความสำคัญอยู่จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะลูกๆ หลานๆ ยังให้ความเคารพ และแสดงออกโดยการมาเยี่ยมเป็นประจำ ผู้สูงอายุบางคนที่มีโทรศัพท์ที่บ้านได้ให้เหตุผลว่า ลูกหลานมีความเป็นห่วงโดยจะโทรศัพท์มาถามทุกข์สุขอยู่เสมอถ้าอาทิตย์ใดไม่มาเยี่ยม สำหรับผู้สูงอายุที่ยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันกับลูกหลานกล่าวว่า ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะมีลูกหลานอยู่ด้วยจึงทำให้ไม่เหงา มีความสุขและอบอุ่นใจ เพราะอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ผู้สูงอายุที่พบในการศึกษาครั้งนี้ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกับลูกหลาน ส่วนผู้สูงอายุบางคนที่มีอายุมากไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ จะยังพบปะพูดคุยกับเพื่อนรุ่นน้อง ญาติ รวมทั้งเพื่อนบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกัน และยังไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ ผู้สูงอายุบางคนได้ให้เหตุผลว่าการที่อยู่คนเดียวอาจมองเห็นว่าอยู่ลำพังโดดเดี่ยว แต่โดยความรู้สึกส่วนตัวแล้ว กลับชอบเพราะการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายถึง “เหงา” หรือ “โดดเดี่ยว” ทั้งนี้เพราะมีนิสัยเคยชินและชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบพูดคุยกับใคร ไม่วุ่นวายกับใครจะสบายใจดีกว่า ดังนั้น ถ้าไม่มีธุระจำเป็นก็เลิกที่จะอยู่ในบ้านของตนเอง แต่ถ้ามีงานทำบุญ หรือชมรมผู้สูงอายุที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ มีหนังสือเรียกไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล หรือไปงานผู้สูงอายุก็ไปร่วมทุกครั้งเป็นต้น สำหรับผู้สูงอายุบางคนที่สุขภาพไม่แข็งแรงและไม่ค่อยได้ไปพบปะเพื่อน เพราะเดินไม่ไหวแต่ก็ไม่รู้สึกว่าตนเองเหงา เพราะเวลาอยากไปไหน ก็จะให้ลูกหลานไปส่ง แต่บางครั้งก็รู้สึกเกรงใจเพราะทำให้ลูกหลานเสียเวลาทำมาหากิน

ผู้สูงอายุหลายคนที่ตอบว่าไม่รู้สึกโดดเดี่ยว หรือเหงา โดยพยายามทำอะไรให้เพลิดเพลินไปวันๆ หนึ่งด้วยการทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือการเดินไปเยี่ยมเพื่อนบ้านเพื่อพูดคุย ถ้าวันใดเหนื่อยก็นอนพักผ่อน การพบปะเพื่อนๆ อยู่เป็นประจำทำให้ผู้สูงอายุได้มีกิจกรรมทางสังคม เป็นการผ่อนคลายเพราะได้พูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป ดังนั้นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ที่ตอบว่าไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะเป็นผู้ที่มีกิจกรรมที่ได้ทำในวันหนึ่งๆ ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไร ยังมีผู้สูงอายุที่มีนิสัยชอบอยู่บ้านหรืออยู่คนเดียว และคิดว่าไม่โดดเดี่ยวหรือเหงา เพราะยอมรับความเป็นจริงว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงสามารถทำใจได้และเชื่อว่าตนเองสุขภาพจิตยังคงดีอยู่ เพราะการอยู่คนเดียวไม่ได้แสดงว่าโดดเดี่ยวหรือเหงา การเป็นคนใจเด็ดหรือใจแข็งจะไม่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตใจวัยสูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียว มีความรู้สึกโดดเดี่ยว ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นต่อความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงา ดังตัวอย่างคำตอบของผู้สูงอายุหญิงรายหนึ่ง

“ไม่คิดว่าอยู่โดดเดี่ยว เพราะมีเพื่อนไปมาหาสู่เช่นเดิม และลูกๆ หลานๆ ก็มาเยี่ยมบ่อย บางทีเพื่อลูกก็มาค้างที่บ้าน สนุกสนานกันไม่เคยเหงา ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกันมักจะเจอกันที่วัด ไปบวชชีพราหมณ์ด้วยกัน เวลามีงานวัดก็ไปช่วยกัน มีกิจกรรมที่ทำด้วยกันบ่อยๆ คือ การช่วยเหลือกัน มีอะไรก็แบ่งปันกัน บ้านไหนมีงานก็ไปช่วยกันยามเจ็บป่วยก็ไปเยี่ยมกัน”

ผู้สูงอายุหญิงอีกรายหนึ่งได้แสดงเหตุผลว่า

“ไม่มีเพื่อรุ่นเดียวกัน เพราะตายไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือยายคนเดียว มีแต่เพื่อนรุ่นน้องหรือเป็นพวกญาติๆ กัน ส่วนใหญ่จะไปมาหาสู่กันตามบ้าน บางครั้งพบกันที่วัด ตอนนี้ยายไม่ได้ไปหาเพื่อนๆ นานแล้ว แต่ก็มีคนมาหาที่บ้าน เมื่อพบกันจะคุยกันเรื่องลูกๆ หลานๆ สอบถามสาระทุกข์สุขดิบ มีปัญหาอะไรก็มาเล่าสู่กันฟัง ยายไม่โดดเดี่ยวเพราะอยู่กับลูกหลาน พวกเขาคอยดูแลอย่างดี”

ผู้สูงอายุชายรายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นดังนี้

“ไม่เหงาเลย มีความรู้สึกสดชื่นอยู่เรื่อยๆ เพราะมีงานให้ทำทั้งวัน บางทีก็มีเพื่อนๆ มาคุยด้วย หรือไม่ก็เดินไปคุยกับเพื่อนบ้าน ถ้าวันไหนเหนื่อยก็นอนพักผ่อน เพื่อนๆ ที่เจอกันบ่อยๆ แถวตลาด ร้านกาแฟ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เวลามีงานไม่ว่าจะเป็นงานวัด งานบวช งานแต่งงาน ก็จะไปช่วยกัน ไปพูดคุยปรับทุกข์ เป็นกำลังใจให้กัน มีความสุขดี”

ตัวอย่างที่นำมากล่าวข้างต้นเป็นเพียงบางตอนของการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นว่าไม่มีความรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งมีมากถึงร้อยละ 83 ของผู้สูงอายุที่ได้ศึกษาในครั้งนี้ เมื่อนำความคิดเห็นของผู้สูงอายุใจกลุ่มนี้มาพิจารณาในประเด็นเหตุผลที่สนับสนุนคำตอบว่า ไม่มีความรู้สึกโดดเดี่ยว โดยสามารถจำแนกได้ ดังนี้

  1. ได้พบปะเพื่อนฝูงทั้งที่ไปหาเพื่อนและเพื่อนๆ มาเยี่ยมเยียนที่บ้าน
    2. ลูกหลานมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ ทุกสัปดาห์บ้าง ทุกเดือนบ้าง หรือทุกครั้งตามเทศกาล
    3. มีลูกหลานอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้าน
    4. มีเพื่อนและญาติๆ อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน พบปะพูดคุยกันบ่อยๆ
    5. มีกิจกรรมให้ทำในแต่ละวัน เพลิดเพลินกับงานเล็กๆ น้อยๆ
    6. ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบพูดกับใคร แม้จะไม่พบใครก็ไม่เหงา ไม่โดดเดี่ยว
    7. มีเพื่อนมากทั้งหมู่บ้าน รู้จักกันหมด พบปะพูดคุยกันเสมอ
    8. ได้เลี้ยงหลานเล็กๆ ไม่เหงาและไม่รู้สึกมีความโดดเดี่ยว
    9.ลูกหลานคอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
    10. ยอมรับความจริงว่าต้องอยู่คนเดียวเพราะมีจิตใจเข้มแข็ง จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงา
    11. มีเพื่อนบ้านที่ดี คอยเอาใจใส่ดูแล แวะเวียนมาพูดคุยเสมอ
    12. มีลูกหลานอยู่ใกล้ๆ แม้จะอยู่ตามลำพังก็ยังพบปะกันทุกวัน
    13. เวลาว่างจะท่องบทสวดมนต์ ทำให้ไม่เหงา ไม่โดดเดี่ยว
    14. มีคนไปมาหาสู่ตลอดเวลา ซื้อข้าวของมาฝากเป็นประจำทั้งลูกหลาน ญาติ และเพื่อนๆ

กิจกรรมต่างๆ ข้างต้นชื้อให้เห็นว่า วิถีชีวิตของผู้สูงอายุในชนบทมีความผูกพันกับครอบครัว ญาติ และเพื่อนๆ ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นหรือเพื่อนต่างรุ่น ความเกื้อหนุนทางสังคมนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุในชนบทนั้น แม้จะลดบทบาททางสังคมที่เปลี่ยนจากผู้ผลิตมาเป็นผู้บริโภค ยังคงเป็นประมุขของครอบครัวที่บุตรหลานให้ความสนใจ เอาใจใส่เป็นอย่างดี ผู้สูงอายุที่อยู่ในครอบครัว ชุมชนและสังคม ยังมีความผูกพันทางสังคมกับคนอื่นอย่างแนบแน่น ทำให้ผู้สูงอายุไม่มีปัญหาทางด้านจิตใจ ผู้สูงอายุยังคงสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ ผู้สูงอายุบางคนอาจมีปัญหาด้านสุขภาพที่ไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนผู้อื่น ก็จะมีผู้อื่นมาเยี่ยมที่บ้าน การแลกเปลี่ยนกิจกรรมทางสังคมดังกล่าวอาจไม่เกิดในชุมชนเมือง แต่เมื่อพิจารณาสภาพของหมู่บ้านของชนบทไทยภาคกลาง ที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อน ทำให้ง่ายต่อการติดต่อระหว่างกัน โดยไม่มีขอบเขตหรือรั้วแบ่งกั้นระหว่างบ้าน จากลักษณะของการตั้งหมู่บ้านในชนบทดังกล่าว จึงเอื้อต่อการมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่สมาชิกของชุมชนสามารถพึ่งพาอาศัยกันเสมือนญาติสนิท

สำหรับผู้สูงอายุที่แสดงความคิดเห็นว่าการอยู่ลำพังกับหลานหรืออยู่คนเดียว มีความรู้สึก “โดดเดี่ยว” และเหงา (ร้อยละ 17.0) ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ได้ให้เหตุผลที่ตอบว่าโดดเดี่ยว คือ

  1. ไม่มีบุตรหลานอยู่ร่วมด้วย ผู้สูงอายุบางคนกล่าวถึงบุตรหลานของตนว่าไม่เคยให้ความสนใจตนเอง เวลาไม่สบายต้องให้ญาติพาไปโรงพยาบาล ผู้สูงอายุหลายคนกล่าวว่า การทที่บุตรหลานออกไปทำงานนอกบ้านทำให้ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน สุขภาพตนเองไม่ดีทำให้คิดถึงลูก เพราะลูกๆ ออกไปทำมาหากินที่อื่นกันหมด จะมาเยี่ยมเพียงปีละครั้งตอนสงกรานต์ ยิ่งตอนกลางคือจะเหงามากต้องสวดมนต์และทำใจให้สงบ คิดถึงอดีตที่เคยมีความสุขเท่านั้น
  2. ไม่มีเพื่อน ส่วนมากจะตอบว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ค่อยมีตายไปหมดแล้ว บางคนก็ไม่ได้พบเพื่อนเพราะต่างคนต่างแก่ เดินทางไปเยี่ยมเยียนกันไม่ได้ ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ยอมรับว่าหน้าที่ปัจจุบันคือ “เฝ้าบ้าน” บางครั้งจะพบกับคนอื่นๆ บ้างที่วัด เวลามีงานบุญหรือไปถือศีล สำหรับผู้สูงอายุที่คู่สมรสเสียชีวิตแล้วซึ่งมักจะเป็นผู้หญิง จะบ่นคิดถึงสามีที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ช่วยกันทำมาหากิน แต่ขณะนี้ต้องอยู่ลำพังเพียงคนเดียว เพื่อนๆ ก็มีบ้างแต่ก็ไม่เท่ากับสามีที่เคยอยู่ร่วมกันมานาน ขณะนี้ไม่รู้จะพูดกับใครให้ถูกใจได้ ส่วนเพื่อนคนอื่นก็มักจะพบกันที่วัดเป็นส่วนใหญ่
  3. ไม่มีกิจกรรมที่จะต้องทำ ผู้สูงอายุที่แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้เพราะไม่มีอะไรทำในแต่ละวัน บางครั้งต้องมาพบกับเพื่อนๆ ใต้ต้นมะขาม หรือเดินไปตลาดเพื่อพบปะผู้คน อยู่บ้านเฉยๆ จะเหงา ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทำ ต้องตนอยู่ไปวันๆ หนึ่ง จึงรู้สึกเบื่อ เหงา และโดดเดี่ยว

4.สุขภาพไม่ดีไปไหนมาไหนไม่ได้ การที่สุขภาพไม่ดีจึงไม่สามารถเดินทางไปพบปะพรรคพวกเพื่อนฝูงได้เหมือนผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีทั่วไป จึงรู้สึกอึดอัดใจและคิดว่าเป็นสามารถที่ต้องอยู่บ้านอย่างโดดเดี่ยว ถ้าหากมีใครมาเยี่ยมก็ช่วยผ่อนคลายได้ ดังนั้นการที่มีสุขภาพไม่ดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเยี่ยมคนอื่นๆ หรือไปเที่ยวเพื่อให้หายเหงาได้

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เป็นวิถีชีวิตของผู้สูงอายุในชนบทที่ดำเนินไปเป็นกิจกรรมประจำวัน สิ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุไม่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว คือ การที่มีลูกหลาน เพื่อน และญาติได้แวะมาเยี่ยมเยียนหรือผู้สูงอายุไปเยี่ยมผู้อื่นแบบแลกเปลี่ยนกัน เป็นกิจกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นเป็นประจำร่วมกัน สำหรับเนื้อหาหรือประเด็นที่ผู้สูงอายุได้สนทนาแลกเปลี่ยนกันนั้นเป็นหัวข้อที่คณะผู้วิจัยต้องการจะทราบว่าถ้าผู้สูงอายุได้พบปะกันดังกล่าว ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุจะพูดถึงเรื่องอะไร ผลจากการศึกษาสามารถประมวลสาระของการพบปะและประเด็นข้อสนทนาได้ดังนี้

  1. พูดคุยทุกข์สุขและความเป็นอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน สอบถามความเป็นอยู่ในชีวิตที่เป็นอยู่
    2. พูดคุยกันเรื่องการทำมาหากิน เป็นการสอบถามเรื่องการทำไร่ ทำนา และกิจกรรมที่ผู้สูงอายุบางคนยังคงมีกิจกรรมต่างๆ นี้อยู่
    3. พูดคุยกันเรื่องศาสนา การทำบุญ ทำทาน การถือศีล บวชชีพรามหณ์
    4. พูดคุยกันเรื่องการทำมาหากินของบุตรหลาน
    5. พูดคุยกันเรื่องสุขภาพและเรื่องอื่นๆ

ประเด็นหัวข้อการสนทนาของผู้สูงอายุดังกล่าวข้างต้น เป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่อยู่ในความสนใจของผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น เรื่องการทำมาหากิน ชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพ และศาสนา มากกว่าที่จะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นไกลจากความเป็นจริง เช่น เศรษฐกิจ การเมืองเป็นต้น สำหรับสถานที่ที่ผู้สูงอายุมักจะใช้เป็นแหล่งพบปะกันนอกจากบ้านแล้ว ก็คือ วัด ในงานมงคล ตลาด ร้านค้า ร้านกาแฟ หรือศูนย์กลางพักผ่อนของผู้สูงอายุ เช่น ใต้ต้นไม้ บริเวณลานวัด เป็นต้น



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า