ผมเขียนบทความนี้เนื่องจากหลายคนที่มีความตั้งใจจริงในการทำงานไม่ว่าจะรับราชการ บริษัทเอกชน ทำส่วนตัวหรือเป็นนักการเมือง ในตอนเริ่มแรก ทุกคนจะมุ่งมั่นตั่งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อบริการประชาชนหรือลูกค้าด้วยความเสียสละ เพื่อประโยชน์ของคนอื่นและส่วนรวมเป็นสำคัญ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนลืมอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ ขาดความซื่อสัตย์ เห็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำงาน เปลี่ยนไปเป็นคนละคน อะไรเป็นสาเหตุให้เปลี่ยน
ผมหวังเพียงว่าเมื่อได้อ่านบทความนี้แล้ว จะได้คิดถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีเมื่อเริ่มทำงาน คิดทบทวนแล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลับมาเป็นคนดีเหมือนเดิม
วันก่อนผมมีโอกาสไปบรรยายที่รพ.ศูนย์แห่งหนึ่ง ซึ่งคงเหมือนกับรพ.ทุกแห่งในปัจจุบันที่ให้การบริการคนไข้มากขึ้น งานเพิ่มขึ้น แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกระดับตั้งแต่แพทย์ พยาบาลจนถึงคนงาน แต่ดูเหมือนว่าความสุขของทุกคนที่เคยมีกลับลดน้อยถอยลง หลายคนไม่มีความสุขในงานที่ทำ
ในบางหน่วยงาน ความรู้จักคุ้นเคย ความเป็นกันเองระหว่างเจ้าหน้าที่ด้วยกันก็เหินห่างไป ความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างหมอกับคนไข้ก็ถดถอยลงจนมีเรื่องร้องเรียนฟ้องร้องกันทุกแห่ง เจ้าหน้าที่รพ.เกิดความเครียด หลายคนตั้งเป้าหมายไว้ว่าทำงานครบ 25 ปี เมื่อได้รับบำนาญจะลาออกหมอ พยาบาลหลายคนลาออกไปอยู่รพ.เอกชน บอกว่างานน้อยกว่า ทำให้มีความเสี่ยงจากการถูกฟ้องน้อยกว่า ยังไม่ต้องพูดถึงค่าตอบแทนที่ได้มากกว่าด้วย ที่สำคัญระบบเอกชนมีความยุติธรรมกว่าเพราะทำงานมากได้มาก ในรพ.รัฐนั้นบางหน่วยงานเจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลาพัก ในขณะที่บางหน่วยงานสบายกว่ามีเวลาพักผ่อน ไม่เครียด บางคนไปช่วยงานบริการอื่นหรืองานบริหาร ทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์และความดีความชอบมากกว่า ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม
ในการบรรยายทุกครั้งผมจะฉายภาพวันจบการศึกษาที่ทุกคนเข้ารับพระราชทานปริญญา ให้พวกเรารำลึกถึงบรรยากาศในวันนั้น ผมบอกกับทุกคนว่า เรายังจำได้ไหมในวันนั้นจุดหมายปลายทางพวกเราทุกคนอยู่ที่ไหน ทุกคนต่างตั้งใจว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ฯลฯที่ดี จะทำงานเพื่อคนไข้ เสียสละเพื่อส่วนรวม ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่ตั้งจุดหมายปลายทางว่าจะเป็นหมอที่เอารัดเอาเปรียบคนไข้ จะขูดรีดคนไข้ จะเป็นพยาบาลที่ใจร้าย ปากร้ายพูดจาไม่ดีต่อคนไข้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปีถึงปัจจุบัน เรายังคงอยู่ในเส้นทางที่เดินไปสู่จุดหมายปลายทางเดิมหรือเปล่า หรือเราเดินออกนอกเส้นทางนั้นแล้ว อะไรทำให้เราออกมาจากเส้นทางเดิม เมื่อรู้ตัวแล้วเราจะถอยกลับไปสู่เส้นทางเดิมเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของเราหรือเปล่า หรือเราจะยังคงเดินไปตามเส้นทางใหม่ที่ทำให้เราห่างไกลจากจุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้แต่แรก จนไกลเกินกว่าที่จะหันกลับ
เมื่อครั้งที่ยังรับราชการอยู่จำได้ว่ามีคนไข้มาร้องเรียนเรื่องทำไมคุณหมอเปลี่ยนไป คนไข้เป็นหญิงวัยกลางคนเล่าให้ฟังว่าเดิมทำงานบริษัทเอกชนมีรายได้พอควร เมื่อไม่สบายนิยมไปพบแพทย์ที่คลินิคเนื่องจากสะดวกดี เธอมีโรคประจำตัวต้องรักษาต่อเนื่อง ต้องไปพบแพทย์ทุกเดือน คุณหมอพูดจาและเอาใจใส่ดีมาก ประทับใจที่สุดไม่เคยคิดเปลี่ยนหมอ แต่เมื่อ3เดือนก่อนบริษัทปิดตัวลง ต้องตกงาน จึงลดค่าใช้จ่ายมาใช้บริการที่รพ.แทน ได้บอกคุณหมอที่คลินิคทราบและขอวันที่หมอออกตรวจที่รพ.เพื่อจะได้ไปรับการรักษาต่อเนื่อง แต่เมื่อมาพบที่รพ.ทั้งๆที่เป็นหมอคนเดียวกันแต่ทำไมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พูดจาไม่ดี หน้าคนไข้หมอก็ไม่มอง มาพบสองครั้งแล้วเหมือนเดิมจึงขอเปลี่ยนหมอแต่พยาบาลบอกว่าเปลี่ยนไม่ได้ คนไข้ของหมอคนไหนก็ต้องให้หมอคนนั้นดูแลไปตลอดไม่มีการเปลี่ยน ไม่งั้นต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เธอจึงมาขอให้ผมในฐานะผู้บริหารช่วยเปลี่ยนตัวแพทย์ผู้รักษาคนใหม่ คนไข้ไม่ต้องการให้ว่ากล่าวหรือทำโทษหมอแต่อย่างใด เธอเพียงบอกว่ารู้สึกน้อยใจที่หมอประจำตัวดูแลรักษามานานเปลี่ยนไป
วันก่อนผมคุยกับแพทย์จบใหม่ก็พูดในทำนองเดียวกัน มีคนไข้บ่นให้ฟังว่า แพทย์รุ่นพี่นั้นเมื่อตรวจรักษาที่รพ.และคลินิคต่างกันมากทั้งการพูดจาและการรักษาพยาบาล ผมมาคิดย้อนกลับดูว่าเมื่อยังทำคลินิคเราเป็นเช่นนี้บ้างไหม เท่าที่จำได้ผมจะถือว่าคนไข้ที่ไหนก็เป็นคนไข้เหมือนกัน มีศักดิ์ศรีเท่ากันทุกคน ผมและหมอพัชรีตัดสินใจเปิดคลินิคเพื่อให้โอกาสคนไข้ที่ไม่มีเวลาไปรพ. ทำให้มีสังคมได้รู้จักคนไข้ในเมืองหรือต่างอำเภอที่ไม่มีเวลาไปหาที่รพ.(มีคนไข้หลายคนที่คลินิกมาเป็นเพื่อนสนิท) และยังมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นว่าคนไข้ไปหาเราที่คลินิคแล้วจะต้องได้รับการดูแลที่ดีขึ้นการพูดจาก็เช่นกัน ที่สำคัญผมจะไม่ทำในสิ่งที่ผิดเช่นเขียนใบรับรองแพทย์เท็จ และไม่ให้อภิสิทธิ์ใดๆเหนือคนไข้ที่รพ.เช่นคิวผ่าตัด แม้แต่การจองห้องพิเศษ ผมถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของแพทย์ รพ.มีระเบียบปฏิบัติ ผมจะไม่เข้าไปแทรกแซงเพราะจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความลำบากใจ
เมื่อเปิดบริการได้ระยะหนึ่ง คลินิกของผมมีคนไข้มากบางครั้งกว่าจะได้ปิดก็สามทุ่มทั้งที่ตั้งใจว่าจะปิดสองทุ่ม ระยะหลังจึงต้องใช้วิธีติดป้ายหน้าประตูว่าขออภัยคลินิกปิดแล้ว จะตรวจเฉพาะคนไข้ที่เหลือ ไม่รับเพิ่มแล้ว เนื่องจากเราจะได้มีเวลาพักผ่อน ไม่เหนื่อยเกินไป ทำราชการมาทั้งวันแล้ว พยาบาลที่ไปช่วยคลินิกบางคนต้องขึ้นเวรดึกจำเป็นต้องได้พักผ่อนก่อน ถ้าคนไข้มีอาการรีบด่วนก็แนะนำให้ไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินรพ.ได้เลย เราไม่ได้เปิดคลินิกเพื่อหวังได้เงินเพียงอย่างเดียว จำได้ว่าเปิดได้สักพักก็เริ่มปิดคลินิกอาทิตย์เช้า(วันธรรมดาเปิดเย็น เสาร์เปิดเช้า-เย็น อาทิตย์เปิดเช้า) เพื่อมีเวลาขับรถไปเที่ยวไกลๆบ้าง แล้วก็ปิดเสาร์เย็นอีกเพื่อจะพักค้างคืนวันเสาร์ที่ต่างจังหวัดได้ ต่อมาชวนน้องสูติแพทย์มาช่วยทำที่คลินิกเพื่อมีเวลาพักมากขึ้น
ปัจจุบันแพทย์ได้รับเงินจากราชการเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ถ้ามีความสมถะก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายพอควร หลายคนไม่ต้องการเปิดคลินิกเอง ทำคลินิกนอกเวลาที่รพ.ก็เพียงพอแล้ว เมื่อผมรับตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวจึงเลิกทำคลินิค ผมพบว่าวันที่ไม่ต้องทำคลินิค มีเวลาที่จะทำกิจกรรมต่างๆที่เราชอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา ขี่จักรยานหรือเดินออกกำลังกาย พบปะเพื่อนๆ และเขียนบทความ ผมอยากให้เพื่อนแพทย์ที่ยังคงเปิดคลินิก3เวลาทุกวัน(เช้า-กลางวัน-เย็น)ลองปิดคลินิคบ้าง จะทำให้รู้ว่าในชีวิตยังมีสิ่งดีๆที่รอให้เราทำอีกมากมายนอกจากชีวิตความเป็นแพทย์ ผมเชื่อว่าทุกคนต่างอยากเป็นเพื่อนกับเราขอเพียงเราทำตัวเรียบง่ายให้เกียรติทุกคน เราจะได้พบเพื่อนดีๆอีกมากมายในชีวิต
ผมโชคดีได้มาทำงานที่รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ เนื่องจากแพทย์รุ่นพี่เปิดคลินิกเฉพาะช่วงเย็นในวันราชการ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะไปทำงานสาย หรือเบียดบังเวลาราชการ ผมเห็นบางแห่งเปิดคลินิก3เวลา นอกจากไม่ดีต่อสุขภาพเพราะพักผ่อนน้อยแล้ว ภาพพจน์ของแพทย์ต่อสาธารณชนรวมถึงคนรพ.ก็ไม่ดีนัก ผมพูดให้น้องๆฟังว่าถ้าเราเปิดคลินิกช่วงเช้าเราจะเสียโอกาสในการทานข้าวเช้ากับลูก ไม่ได้ไปส่งลูกที่รร.ไม่ได้พบกับเพื่อนๆหรือครูของลูก ที่สำคัญบางครั้งคนไข้มากทำให้เราไปทำงานสาย เมื่อเดินเข้ารพ.เราจะขาดความสง่างาม ไม่เหมือนคนที่มาตรงหรือก่อนเวลา สามารถเดินทักทายคนนั้นคนนี้ได้อย่างเปิดเผย คนที่มาสายต้องหลบๆซ่อนๆไม่อยากให้ใครเห็น ขาดศักดิ์ศรีของการเป็นแพทย์
ถ้าเปิดคลินิกเที่ยง ต้องรีบเร่งตรวจคนไข้ที่รพ.เพื่อไปคลินิกเที่ยง ไม่มีแม้เวลาทานข้าว ขาดโอกาสได้ทานอาหารกลางวันหรือทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้ไม่มีสังคมในรพ. บางคนทำงานมานานแต่รู้จักเจ้าหน้าที่รพ.เพียงไม่กี่คน แม้แต่เพื่อนแพทย์ด้วยกันในรพ.เดียวกันยังไม่รู้จักกันเลย น่าเสียดายเวลาที่ผ่านไป
ผมจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ทุกคนฟังเมื่อมีโอกาส ความจริงแล้วชื่อเสียงที่จะทำให้คนไข้ไปหาที่คลินิกจะต้องเกิดจากคนในรพ. การทุ่มเททำงานเป็นหมอที่ดีจะเป็นใบเบิกทางในการทำคลินิกส่วนตัว อย่างไรก็ตามเราจะต้องทำตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ว่าที่คลินิกอย่างหนึ่งและรพ.อย่างหนึ่ง ผมตั้งข้อสังเกตุให้แพทย์หลายๆคนว่าที่คลินิกคนไข้มากเพียงใดเราไม่เคยบ่นแล้วทำไมที่รพ.เวลาคนไข้มากเราถึงบ่นแล้วบ่นอีก จนทำให้เพื่อนร่วมงานหงุดหงิด
ในฐานะครูแพทย์ผมจะขอให้นศพ.หรือแพทย์จบใหม่หาสมุดโน้ตเล่มเล็กติดตัวไว้ตลอดเวลา หรือใช้โทรศัพท์มือถือ ไอแพท ก็ได้ ทุกครั้งที่พบเหตุการณ์ประทับใจไม่ว่าจะเป็นการกระทำของใครทั้งนอกหรือในรพ. ให้บันทึกไว้ ไม่จำเป็นต้องบันทึกชื่อบุคคล บันทึกเพียงเรื่องราวก็พอ เรื่องดีงามบันทึกไว้ด้านหน้า เรื่องไม่ดีไม่งามบันทึกไว้ด้านหลังและหมั่นอ่านทุกครั้งทั้งด้านหน้าและด้านหลังเมื่อมีโอกาส
ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าด้านหน้ามีน้อยแต่ด้านหลังมีมาก ผมจึงบอกว่านี่เเหละที่อยากให้ทำเราจะได้ช่วยกันทำเรื่องดีงามเหมือนตัวอย่างด้านหน้าและหลีกเลี่ยงการทำเรื่องเลวร้ายดังตัวอย่างด้านหลัง ต่อไปสิ่งไม่ดีไม่งามจะลดน้อยลง แต่ถ้าเรายังทำเรื่องเลวร้ายทั้งๆที่บันทึกไว้ก็แสดงว่าเราเลวร้ายกว่ารุ่นพี่ๆเพราะได้เห็นตัวอย่างแล้วแต่ก็ยังทำ
ผมพยายามพูดเสมอว่าคนที่ไม่ดีก็เป็นครูได้เพราะเป็นครูในทางที่ไม่ควรเอาแบบอย่าง การได้เห็นตัวอย่างที่รุ่นพี่ๆทำไว้ดีจะเป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้องทำดีต่อกันไปเรื่อยๆ การทำสิ่งดีงามจึงจำเป็นต้องมีการปฏิบัติต่อเนื่องจนเป็นวัฒนธรรม เป็นจรรยาบรรณวิชาชีพ ทุกคนที่เข้ามาใหม่จะยินดีถือปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ
ผมถือว่าแพทย์มีความสำคัญเพราะเป็นหัวหน้าทีม ถ้าแพทย์เป็นตัวอย่างที่ดีจะทำให้ทีมมีความเข้มแข็งมีจิตวิญญาณที่พร้อมทำงานเพื่อคนไข้ ขอให้ทุกคนคิดดูว่า ขณะนี้เรายังคงอยู่ในเส้นทางที่จะพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางเหมือนที่เราตั้งใจไว้ตอนเรียนสำเร็จใหม่ๆหรือเปล่า
ถ้าเราออกไปนอกเส้นทางแล้ว เรากล้าที่จะหันหลังกลับและเดินไปสู่เส้นทางเดิมที่เราตั้งเป้าหมายไว้แต่แรกหรือไม่ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนทำในสิ่งที่ถูกต้องชื่อเสียงเกียรติยศและเงินทองที่เราทำงานหนักเพื่อให้ได้มานั้นคงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง การเป็นคนดี มีคุณค่าที่คนไข้และเพื่อนร่วมงานทุกคนยอมรับต่างหาก จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนตลอดไป ผมเชื่อว่ายังมีคนไข้อีกมากมายที่มีความทุกข์จากการเจ็บป่วย กำลังรอพวกเราไปช่วยดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกันกับทุกคนและทุกอาชีพ ยังมีคนที่ต้องการความเป็นธรรม ความซื่อสัตย์ การทำงานหรือการบริการที่ดีจากทุกคนเช่นกัน
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”
นพ.พิษณุ ขันติพงษ์