วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานในชีวิตราชการของหลายๆคน ผมขอส่งบทความที่ผม เขียนสำหรับผู้เกษียณ อายุราชการทุกคน แทนคำขอบคุณที่ได้รับราชการ ทำงานให้แผ่นดินจนครบวาระ เป็นกำลังใจให้น้องๆ ผู้เกษียณทุกคนเพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่าอย่างมีความสุข เราหยุดทำงานราชการแล้วก็จริง แต่เราคงไม่หยุดทำความดีงามให้แผ่นดินของเราต่อไปครับ
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”
“จากสายพิรุณ แห่งความดี
สู่มหานที แห่งศรัทธา”
นพ.พิษณุ ขันติพงษ์
มีคนถามผมมากมายในปีที่เกษียณว่าทำไมถึงเกษียณเร็วยังหนุ่มอยู่น่าจะทำงานต่ออีกสัก5 ปี ผมคิดว่าผู้เกษียณทุกคนก็คงถูกถามเช่นเดียวกัน ผมตอบทุกคนว่าผมไม่ได้เกษียณเร็วกว่าคนอื่นเพราะใช้อายุ 60 ปี เป็นเกณฑ์ ไม่ได้ใช้ว่ายังดูหนุ่มทำงานต่อได้อีกหรือว่าแก่แล้วทำงานไม่ไหวแล้ว
จริงอยู่ที่หลายคนต้องเกษียณก่อนอายุ 60 ปี อาจด้วยเหตุผลทางสุขภาพหรือต้องการประกอบอาชีพใหม่ แต่พวกเรานั้นครบ60ปีตามกำหนดก็ต้องเกษียณตามระเบียบ
ผมนิยมใช้คำว่าครบวาระราชการดูน่าจะมีความหมายที่ชัดเจนกว่า เพราะเราอยู่ครบวาระตามที่ราชการกำหนดไว้ว่าให้ปฏิบัติหน้าที่จนอายุครบ 60 ปี จริงอยู่ผู้ที่เกษียณหลายคนยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สามารถทำงานต่อไปได้อีกหลายปี ปัจจุบันสามารถต่ออายุราชการได้เพียงแต่ไม่ใช่หน้าที่บริหาร เพื่อให้โอกาสคนรุ่นใหม่บริหารงานต่อไป ถ้าไม่ต่ออายุราชการก็เปลี่ยนสถานะเป็น “ข้าราชการบำนาญ” แทน
ผมขอเป็นตัวแทนประชาชนกราบขอบพระคุณผู้เกษียณทุกท่านที่ได้ปฏิบัติหน้าที่จนครบวาระ ขอให้มีความภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่จนถึงวันสุดท้าย กุศลผลบุญจากการทำงานของเราจะช่วยนำพาชีวิตในวัยหลังเกษียณให้พบกับความสุข
อย่างไรก็ตามในฐานะรุ่นพี่ที่เกษียณมาก่อน มีหลายอย่างที่อยากแนะนำผู้เกษียณทุกคนรวมถึงคนอื่นๆที่ยังไม่ถึงเวลาในปีนี้ เพื่อจะได้เตรียมตัวให้พร้อม ไว้ก่อน ดังนี้
1.ด้านสุขภาพ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่มักถูกมองข้าม ชีวิตหลังเกษียณหลายคนตั้งใจจะไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆแต่พอถึงเวลาจริงๆสุขภาพไม่อำนวย ทั้งที่มีเงินเตรียมไว้แล้วและมีเวลาที่ไม่ต้องทำงานประจำ ผมจึงอยากให้ทุกคนเอาใจใส่ดูแลสุขภาพตั้งแต่ตอนยังหนุ่มสาวโดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านสาธารณสุข ยิ่งต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการรักษาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารที่ต้องปรุงสุก สะอาด ปลอดสารเคมีตกค้าง ควรทานให้ครบทุกหมวดหมู่ การออกกำลังกายควรทำอย่างสม่ำเสมอใช้เวลานานพอควรตามความเหมาะสมของร่างกายแต่ละคน จริงอยู่ความเสื่อมของสังขารนั้นเราหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะกระดูกและข้อ แต่พบว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะช่วยพยุงกระดูกและข้อได้ จึงควรออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงทุกส่วน ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ปลอดภัยจากมลภาวะเป็นพิษ ที่พักอาศัยควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก ควรหาเวลาไปสวนสาธารณะ ใช้เวลาอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่แหล่งผลิตออกซิเจน จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มปอด และที่สำคัญมากคือเรื่อง”อารมณ์” ต้องฝึกมองโลกแง่บวกไม่หมกมุ่นกับความผิดหวังที่ผ่านไปแล้วหรือกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ครั้งหนึ่งผมเคยถาม อ.นพ.บุญยงค์ วงค์รักมิตร อดีต ผอ.รพ.น่าน ว่าทำไมท่านถึงอารมณ์ดี ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา แม่จะอายุมากแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนก็หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆแต่พอมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งมาอาศัยอยู่ด้วยกัน ท่านไม่เคยทุกข์อีกเลย พร้อมรับสถานการณ์ต่างๆได้ทุกเวลา เพื่อนสนิทนั้นก็คือ “สติ”
ตัวผมเองก็กำลังฝึกเช่นกันให้มีสติอยู่กับเราทุกเวลาเพื่อไม่ให้มีกิเลสหรือตัณหามาครอบงำชีวิตเพื่อให้เราได้พบความสุขสงบที่แท้จริง
2.ด้านการมีคุณค่าในชีวิต พวกเราทุกคนต่างก็ทำงานสร้างมูลค่าให้ตัวเองและครอบครัวมายาวนาน สามารถดูได้จากเงินหรือทรัพย์สินที่สะสมไว้ ถือเป็นความภูมิใจที่สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ แต่ทำอย่างไรจะทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า ช่วงเวลาหลังเกษียณ ขณะที่ยังมีกำลังกายกำลังสติปัญญาหรือกำลังทรัพย์ที่จะทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ชุมชน สังคม ซึ่งถือเป็นชีวิตที่มีคุณค่า อย่างน้อยก็ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการดูแลรักษาสุขภาพ การทำประโยชน์ให้ส่วนรวม การปฏิบัติตามกฏหมายบ้านเมือง ผมอยากให้ทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชนเพื่อประโยชน์สุขของชุมชนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขทุกคนมีประสบการณ์จากการทำงานในโรงพยาบาลมายาวนาน สามารถที่จะเข้าร่วมแก้ปัญหาด้านสุขภาพ อนามัย สิ่งแวดล้อมให้ชุมชนเช่นการเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกและโรคระบาดร้ายแรงต่างๆ รวมถึงการดูแลคนไข้โรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุที่ช่วยตนเองไม่ได้การแก้ไขปัญหาเด็กติดยาเสพติด การตั้งครรภ์วัยรุ่นฯลฯโดยประสานงานกับทีมรพ.และสาธารณสุข ที่คุ้นเคยมานานหรือจะสมัครเข้าร่วมเป็น อสม.ประจำชุมชนก็ยังได้ ผมเชื่อว่า “ศักดิ์ศรีของการมีชีวิตไม่ใช่เพียงการทำให้ชีวิตของเราเป็นสุข แต่เป็นการทำให้คนอื่นมีความสุขต่างหาก”
3.ด้านสถานะทางการเงิน บางคนเกษียณแล้วยังต้องทำงานหนักเท่าเดิมหรือยิ่งกว่าเดิมเพื่อหาเงินให้ได้มากยิ่งขึ้น เงินที่ได้จากเกษียณก็มีพอควร บางคนรวมทั้งตัวผมยังได้รับเงินบำนาญทุกเดือนด้วย
ผมอยากเตือนทุกคนว่าในวัยนี้ไม่ใช่เวลาหาเงินแล้ว ควรเป็นเวลาสร้างคุณค่าให้ชีวิตมากกว่า จึงขอฝากรุ่นน้องๆที่ยังมีเวลาให้รู้จักเก็บออมตั้งแต่อายุน้อย อย่าขยันสร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ การใช้จ่ายเกินตัว จะทำให้ลำบากในภายหลัง ที่สำคัญในวัยเกษียณไม่ควรโลภแล้ว บางคนนำเงินบำเหน็จเป็นก้อนไปลงทุนกับตลาดหุ้นหรือทำการค้ากับเพื่อนโดยที่ตนเองไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ทำให้หมดตัวได้ อายุมากแล้วเวลาล้มแล้วไม่เหมือนคนหนุ่มที่ยังมีโอกาสแก้ตัวใหม่ได้ ผมอยู่มาถึงปัจจุบันเชื่อว่าเงินมิใช่จะได้มาโดยง่าย การลงทุนที่ได้ผลกำไรสูงๆต้องระวังควรคิดให้รอบคอบ และไม่ควรเสี่ยงโชคจากการพนันเด็ดขาด การซื้อหุ้นก็ขอให้ระมัดระวังไม่ควรโลภมาก ผมเชื่อว่าในวัยนี้พวกเราทุกคนทานอาหารน้อยลง เพราะทานมากก็อืดท้องแน่นท้อง การเดินทางท่องเที่ยวไปไกลๆหลายคนก็ไม่ชอบหรือเที่ยวบ่อยแล้วก็เบื่อ ช้อบปิ้งก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร เสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีมากเนื่องจากไม่ได้ใส่ไปทำงานแล้ว จึงควรใส่เสื้อผ้าที่ใส่แล้วสบายตัว เราจึงไม่จำเป็นต้องหาเงินมากมายแต่ควรเป็นการใช้เงินอย่างมีคุณค่ามากกว่า
4.สถานะทางสังคม ผมถือว่ามีความสำคัญ เมื่อเราเกษียณแล้วอำนาจที่เคยมีก็หมดไปด้วย บางคนทำใจลำบากเคยมีคนพินอบพิเนาอยู่รอบตัว พอหายไปทำใจไม่ได้ ขอให้ฝึกตั้งแต่ตอนยังมีอำนาจ ผมยังจำคำสอนของ อาจารย์บุญยงค์ได้ว่า อาจารย์ไม่เคยมีลูกน้องมีแต่เพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันทำงานให้รพ. เพราะหลวงเป็นผู้จ่ายเงินเดือน เราจึงต้องให้เกียรติและให้ความสำคัญกับทุกคน เพียงแต่เราทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเท่านั้น บางคนเมื่อเกษียณแล้วยังคงยึดติดกับตำแหน่งและอำนาจทำให้รู้สึกไม่พอใจเมื่อคนอื่นไม่ให้เกียรติหรือพินอบพิเนาเหมือนเดิม
ผมเชื่อว่าในขณะที่เราอยู่ในตำแหน่ง ไม่ได้ใช้แต่อำนาจในการครองคน แต่ใช้บารมีในการทำงาน บารมีนั้นจะยังคงอยู่ติดตัวเราแม้ว่าจะเกษียณไปนานกี่ปีก็ตาม ผมอยากเห็นพวกเราร่วมทำงานกับชุมชนซึ่งมีคนหลากหลาย ขอให้คิดว่าเราก็เป็นเพียงคนหนึ่งในชุมชน ไม่ควรยึดติดกับตำแหน่งในอดีต ทำตัวให้ติดดิน เมื่อถึงเวลาทุกคนจะให้เกียรติเราเอง ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนไปเช่นไรถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม ย่อมจะเกิดความสงบไม่มีปัญหาอะไร ยกตัวอย่างที่เราเห็นกันทุกวันเช่นสัญญานไฟจราจรตามแยกต่างๆ กติกามีอยู่ว่าไฟเขียวหมายความว่าไปได้ ไฟแดงต้องหยุดและไฟเหลืองหมายความว่าเตรียมตัวหยุด ไฟเหลืองจึงต้องอยู่ระหว่างไฟเขียวไปแดง แต่จากพฤติกรรมที่ทุกคนปฏิบัติเมื่อถึงทางแยกขณะไฟเหลืองจะรีบเร่งไปให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันไฟแดงขณะเดียวกันเมื่อถึงทางแยก ทางเราเป็นไฟแดง อีกทางไฟเขียวแต่ไม่มีรถเลย เราจะหยุดหรือไม่ ผมสอบ ถามหลายคนแล้วพบว่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ80 จะฝ่าไฟแดง ทั้งๆที่ตามกฎจราจรไฟแดงหมายความว่าหยุด ไม่ได้บอกว่าถ้าไม่มีรถสามารถไปได้ ผมจึงขอให้พวกเราคิดเองว่าการที่มีกฎระเบียบนั้นก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับทุกคนในการใช้รถใช้ถนน ถ้าทุกคนไม่ปฏิบัติตามสังคมก็จะมีแต่ความเดือดร้อน ผมจึงหวังว่าพวกเราวัยเกษียณจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคมต่อไป
สำหรับผมนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 57 ผมประกาศตนเป็น “ข้าราชการบำนาญ ของแผ่นดิน” เพื่อเตือนตัวเองว่ายังรับเงินบำนาญซึ่งเป็นเงินของแผ่นดินจึงต้องทำสิ่งดีงามแทนคุณแผ่นดินตลอดไป “ผมจะไปในทุกที่ เพื่อสร้างคนดี แทนคุณแผ่นดิน”
ในนามของข้าราชการเกษียณรุ่นพี่ผมขอขอบพระคุณผู้เกษียณทุกท่านอีกครั้งที่ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ มุ่งมั่นตั้งใจ ทำงานหนักเพื่อการบริการประชาชนขอให้ทำตัวเป็นแบบอย่างกับคนรุ่นหลัง และไม่ว่าเราจะมีหน้าที่หรือตำแหน่งใด ก่อนเกษียณผมถือว่ามีความสำคัญทุกคน องค์กรจะขาดบุคลากรคนหนึ่งคนใดไม่ได้ ขอให้ทุกคนมีความภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดีจนครบวาระราชการ ขอให้มั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่รุ่นหลังทุกคนจะยังคงจดจำสิ่งดีๆที่รุ่นพี่ได้ทำมาตลอด และในยามเจ็บป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือ จนท.รุ่นหลังจะดูเราเป็นอย่างดีเหมือนที่พวกเราเคยดูแลรุ่นพี่ๆมาแล้ว “ความดีที่พวกเราทำ เปรียบเสมือนสายฝน แห่งความดีที่พร่างพรู สู่พื้นพสุธา รวมตัวกันเป็นมหานทีแห่งศรัทธา ที่คนรุ่นหลังสามารถใช้ประโยชน์ได้ไม่สิ้นสุด”
สุดท้ายนี้ผมขออารธนาอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถและสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้โปรดดลบันดาลให้ผู้เกษียณทุกท่านมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงคิดประสงค์สิ่งใดในทางที่ถูกที่ควรก็ขอให้ได้ดั่งใจและประสบแต่ความสุขตลอดไป เทอญ
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”