บทความเรื่อง
“เริ่มต้นจากตัวตน ชวนทุกคนเป็นคนดี”
เพื่อสร้างพลังบวกให้หมอณุ ในการผ่าตัดครั้งสำคัญ
พวกเราขอส่งบทความที่คุณหมอณุ อยากให้ทุกคนเป็นคนดี เพราะตกผลึกมาแล้วว่า คนดีสำคัญที่สุด
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”
“เริ่มต้นจากตัวตน ชวนทุกคนเป็นคนดี (2)”
ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์และเป็นผู้บริหารรพ. ผมมีความรู้สึกภูมิใจและมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง ในการทำหน้าที่แพทย์ผมไม่เคยละทิ้ง เพิกเฉย ละเลยหรือทำสิ่งไม่ดีกับคนไข้ ให้การดูแลรักษาคนไข้เหมือนเป็นคนในครอบครัว เมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดจะหาทางช่วยเหลือทุกวิถีทางและอยู่ร่วมด้วยจนถึงที่สุด ในฐานะผู้บริหารผมทุ่มเทแรงกายแรงใจพร้อมทำทุกอย่างแม้จะต้องเผชิญกับปัญหาที่ตามมาเพื่อให้คนไข้ ประชาชนและเจ้าหน้าที่รพ.ทุกคนมีความสุข ผมเชื่อว่าที่ทำได้เนื่องจากผมมีศรัทธาในวิชาชีพแพทย์และมีศรัทธาในชีวิต ผมอยากให้ทุกคนมีความรู้สึกดีดีเหมือนกับผม เริ่มต้นที่มีใจที่ดีงามก่อน คือมีใจที่ไม่ต้องการเบียดเบียนหรือเอาเปรียบใคร และพร้อมให้ความช่วยเหลือคนอื่น ดังนั้นมุมขวาล่างของสไลด์ที่ใช้เป็นสื่อในการบรรยายทุกภาพของผมจะต้องมีรูปหัวใจสีแดงที่มีคำว่าดีอยู่ตรงกลางเป็นเอกลักษณ์
จากประสบการณ์ผมพบว่ากายและใจพวกเรามีความสำคัญต่อการทำงานมาก เมื่อเริ่มทำงานใจทุกคนจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อช่วยเหลือคนไข้ กายแข็งแรงสู้งานหนัก งานที่ออกมาเปรียบเป็นลูกศรขนาดใหญ่พุ่งขึ้น เวลาผ่านไป 3-5 ปีกายเริ่มเหนื่อยล้า แต่ใจยังคงมุ่งมั่นมีอุดมการณ์ ลูกศรยังคงพุ่งขึ้นแต่ขนาดเล็กลง เวลาผ่านไปอีก 5-10 ปี กายยังเหนื่อยล้า แต่ใจเริ่มท้อ เพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ทำไมทุ่มเททำงานหนักแต่รู้สึกว่าไม่ได้ดี ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าหรือผู้บริหาร ลูกศรเริ่มขึ้นๆลงๆ บางคนบอกว่าทำงานเหมือนผีเข้าผีออก ผีเข้าลูกศรพุ่งพรวด ผีออกลูกศรลงวูบ เมื่อเวลาผ่านไปอีก 5-10 ปี กายไม่สู้ ใจไม่สู้แล้ว ลูกศรลงอย่างเดียว ส่วนใหญ่รอครบ 25 ปีได้บำนาญจะลาออกหรือรอเกษียณ ผมขอให้ทุกคนคิดเองว่าขณะนี้เราอยู่ในกลุ่มใด ผมมีหน้าที่มาชวนให้ทุกคนกลับมาอยู่ในกลุ่มแรกเหมือนเมื่อเริ่มทำงานใหม่ เพราะอะไรรู้ไหมครับ ?
อ.นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร อดีตผอ.โรงพยาบาลน่านเคยบอกกับผมว่า พวกเราทำงานอยู่ใน “ธนาคารชีวิต” ปกติเราฝากเงินไว้ในธนาคารเพราะเรามั่นใจว่าเขาสามารถดูแลรักษาเงินเราได้ แต่นี่เขาเอาชีวิตของเขาหรือของคนที่เขารักที่สุดมาให้เราดูแลเพราะเขามั่นใจว่าเราสามารถดูแลรักษาชีวิตเขาได้ จะทำอะไรก็ได้ เขาไว้ใจเรา ถือว่าเป็นเกียรติไหม เป็นเกียรติอย่างที่สุด ผมจึงอยากบอกว่าพวกเรานั้นมีบุญที่สุดที่ได้ทำงานในรพ.ซึ่งเปรียบเหมือนธนาคารชีวิต ช่วยดูแลรักษาคนไข้ที่กำลังระทมทุกข์จากการเจ็บป่วย นอกจากทำมาหาเลี้ยงชีพแล้วยังได้สร้างบุญกุศลตลอดเวลา จึงเป็นเหตุผลที่อยากให้ทุกคนทำงานเหมือนตอนเริ่มงานใหม่ๆลูกศรตัวชี้วัดผลงานพุ่งขึ้นตลอดเวลา
เมื่อผมไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการรพ.น่าน ที่ซึ่งทำให้ผมตกผลึกคำว่าคนดีคนมีคุณค่า จากการที่ได้เห็นแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานหนักเพื่อดูแลรักษาคนไข้ ขณะนั้นรพ.น่านมีขนาด 523 เตียง มีแพทย์ staff 42 คน พยาบาล 407 คน ผมไม่ทราบว่าทำงานกันได้อย่างไร? ที่สำคัญนั้นคนไข้ได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยม มีคนไข้คนหนึ่งเป็นอัมพาตต้องใช้เครื่องช่วยหายใจถึงสองปี แต่ไม่มีแผลกดทับเกิดขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีพยาบาลพิเศษ แสดงถึงการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ผมเชื่อว่าทุกคนทำงานด้วยหัวใจอย่างแท้จริง ผมจึงเริ่มเขียนบทความ “Humanized Health Care” ซึ่งหมอพัชรี แปลว่า “การดูแลคนไข้ด้วยหัวใจ บนพื้นฐานความรู้” เดือนละเรื่องเพื่อพิมพ์ในวารสารรพ.น่าน รายเดือน โดยเขียนจากประสบการณ์ตรงในชีวิตความเป็นแพทย์ เริ่มต้นตอนแรกว่า “แล้วแต่หมอ” เพราะมีแพทย์รุ่นน้องถามผมว่าทำไมคนไข้มักบอกว่า “แล้วแต่หมอ” เมื่อถามความเห็นในการเลือกวิธีรักษา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่าที่คนไข้พูดเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเราเรียนแพทย์ จึงน่าจะมีความรู้ดีที่สุด น้องถามต่อว่าแล้วเราควรทำอย่างไร? ผมก็บอกว่าผมมองคนไข้ที่อยู่ตรงหน้าผมว่าถ้าเป็นแม่ผมน้องสาวผม ผมจะดูแลรักษาอย่างไร ผมก็จะรักษาคนไข้เช่นเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากหรือลำบากใจสำหรับหมอในการรักษาคนไข้ ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจ และกำลังใจให้กับพวกเราในการทำงานต่อไปอย่างมีความสุข
ผมได้ชี้ให้พวกเราทุกคนได้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นทุกวัน คนไข้มารพ.เพื่อรอรับการตรวจรักษาทุกวันตั้งแต่เช้ามืด บางคนออกจากบ้านมาตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ผมใช้คำว่าบุญที่มองเห็นมาหาเราทุกวัน แต่เราไม่สนใจมัวแต่ไปหาบุญที่มองไม่เห็นที่อื่น แม่ชีเทเรซ่าเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเรายังรักคนที่เรามองเห็นไม่ได้ จะไปรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นได้อย่างไร” ผมต้องการที่จะสะกิดให้พวกเราได้เห็นว่าคนไข้เขาลำบากแค่ไหนในการมาหาเราเพื่อให้เราช่วยดูแลรักษาอาการเจ็บป่วย ถ้าเราทำด้วยความมีเมตตากรุณาจะเกิดบุญกุศลขึ้นมากมายเพียงใด แต่ทุกวันนี้เราไล่บุญทุกวันโดยไม่รู้ตัว คนไข้มากก็บ่น ทำท่าทีเบื่อหน่าย พูดจาไม่เหมาะสม ถ้าเป็นคนไข้เราจะคิดอย่างไร? อุตส่าห์เดินทางมาไกลด้วยความลำบากเพื่อให้พวกเราช่วยเหลือ ผมเห็นพวกเราหลายๆคนในวันหยุดเดินทางไปไกลเพื่อทำบุญตามสถานที่ต่างๆ ละเลยบุญที่มาหาเราอยู่ทุกๆ วัน ผมจำได้ว่าทุกวันพฤหัสที่รพ.น่านจะมีคนมาตัดผมให้คนไข้เป็นประจำ ทำให้คนไข้สดชื่นขึ้น ตัดให้คนไข้เสร็จก็ตัดให้ญาติและเจ้าหน้าที่ด้วย และบ่อยครั้งที่มีคนจากภายนอกเข้ามาแสดงละครย่อยหรือร้องเพลงให้คนไข้ฟัง เพื่อให้คนไข้มีความสุข ผมบอกทุกคนได้เลยครับว่าเขาเหล่านั้นล้วนแต่มาเอาบุญในรพ.ของเรา บุญมีอยู่ทุกหนแห่งในทุกรพ.เพียงแต่ว่าใครจะมองเห็นหรือไม่เท่านั้น
มีหลายคนถามผมว่าทำไมถึงยังทำงานภาครัฐทั้งๆ ที่งานหนัก คนไข้มากมายแน่นไปหมด ความสะดวกสบายก็น้อยแอร์ก็ไม่มีหรือมีก็ไม่เย็นเพราะคนไข้มาก รายได้ค่าตอบแทน (ปัจจุบันดีกว่าในอดีตมาก) ก็น้อยเมื่อเทียบกับภาคเอกชน ผมยังจำได้ว่าเมื่อ 30 ปีก่อน อาจารย์ท่านหนึ่งเคยชวนไปอยู่รพ.เอกชนที่กทม. รับรองรายได้ขั้นต่ำ 2 แสนบาท ขณะนั้นผมได้เงินเดือน 7,500 บาท รวมค่าเวรอีกราว 2,500 บาท ยังไม่ถึงหมื่นต่างกันมาก ที่สำคัญที่นั่นตรวจรักษาคนไข้วันละไม่เกิน 10 คน ผมอยู่รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ตรวจคนไข้วันนึงเป็นร้อย แต่รู้สึกว่าคุ้มกับที่เรียนมานานร่วม 10 ปี กว่าจะเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ผมขอบอกกับทุกคนว่า “ต้องไม่มองว่าการดูแลรักษาคนไข้เป็นภาระ ให้มองว่ามันคือความสุข” เราจึงจะทำงานอย่างมีความสุข คนไข้ยิ่งมีความสุขที่เห็นรอยยิ้มของพวกเรา ที่สำคัญนั้นงานที่เราทำคือการช่วยชีวิตคน ยิ่งทำมากก็ยิ่งมีคุณค่ามาก นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างภาครัฐกับเอกชน “คุณค่าของชีวิต” ที่ต่างกัน
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”