
การเมืองเป็นเกมแห่งการแย่งชิงอำนาจ…และผลประโยชน์… ใคร กลุ่มใด ฉลาดกว่าและมีเหลี่ยมคูทางการเมืองเหนือกว่า ผู้นั้นย่อมมีชัย…ได้อำนาจนั้นไป!
การเลือกตั้งทั่วไปของไทย เมื่อ 14 พ.ค.’66 ที่ผ่านมา เป็นการขายความนิยม อุดมการณ์การเมืองซึ่งมีการชิงชัยกัน 2 ฝ่ายหลักๆตามที่ประชาชนแบ่งให้ คือ “ฝ่ายประชาธิปไตย” และ “ฝ่ายอนุรักษ์(อำนาจ)นิยม” ก็ชัดเจนไปแล้วเมื่อผลเลือกตั้งที่ผ่านมา…พบว่าประชาชนคนส่วนใหญ่เขาสนับสนุน “ฝ่ายประชาธิปไตย” มากที่สุด จัดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ประหลาดมหัศจรรย์ที่สงบและสันติ เหมือน “การปฏิวัติของประชาชนด้วยปากกา” ผ่านการหย่อนบัตรของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง …แม้เด็กและเยาวชนที่ไม่มีสิทธิ…แต่ก็ยังเป็นผู้ชี้นำชี้แนะให้ พ่อ แม่ ญาติพี่น้องไปกาบัตรนี้ บัตรนั้น ให้ด้วย รวมทั้งกระแสสื่อโซเชียล โดยเฉพาะกลุ่ม UGC (User generated content ) ก็มีอิทธิพลสูงมากๆ ในยุคดิจิทัลนี้ อันดับ 1 และอันดับ 2 ที่มีคะแนนเสียงทิ้งห่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันใน 8 พรรค ที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันในขณะนี้
นี่คือ “เจตนารมณ์ และฉันทานุมัติ” อันแรงกล้าของประชาชนทุกหมู่เหล่าที่เป็นเจ้าของสิทธิลงคะแนนเสียงให้กว่า 26 ล้านคนของ 2 พรรคใหญ่ และอีก 6 พรรคเล็กนี้ให้เป็นรัฐบาลชุดใหม่ตามที่เขาต้องการ…ดังนั้นทั้ง 8 พรรค ต้องยึดมั่นในเจตนารมณ์นี้ให้แม่นมั่น ต้องไม่พรากจากกันโดยเด็ดขาด!
ช่วงที่ผ่าน 2 พรรคใหญ่ มีการแย่งชิงตำแหน่งประธานสภากันอุตลุด สร้าง วลี โวหาร ภาษิต จนเป็นไวรอลไปทั่ว ในที่สุดก็จบลงอย่าที่เห็น ที่สำคัญคือมีบางกลุ่ม บางพวก นักวิชาการ นักวิชาโกรธ รวมทั้งกลุ่มที่อ้างตนว่าเป็นสื่อมวลชนกระแสหลัก และสื่อในพื้นที่ของโซเชียลมีเดีย ที่มีทัศนคติในทางลบ (bad adtitude) ก็มีการ “เสี้ยม” และ “ปั่นกระแส” ทั้ง วิเคราะห์ วิแคะ ผสมวิชามารภายใต้แนวคิดว่า “จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ 2 พรรคนี้เขาตั้งรัฐบาลได้” บ้างก็อ้างว่ามีดีลกับคนโน้นพรรคนี้ไปเรื่อยเพื่อให้ฝ่ายประชาธิปไตยทะเลาะกัน แยกตัวไปตั้งรัฐบาลกับอีกฝ่ายไปโน่น สถานการณ์อย่างนี้ คนที่มาวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่มักจะใช้ ”ความรู้สึก” มากกว่า “ความรู้” จริงๆ …ดั่งคำกล่าวที่ว่า “วัฒนธรรมของคนไทยบางกลุ่มไม่ชอบอ่าน”...แต่ชอบวิจารณ์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้อ่านไม่ศึกษาข้อมูลมาก่อน เห็นอะไรก็วิจารณ์ทันทีเพื่ออวดตนเป็นผู้รู้และยกตนข่มท่าน หากใครไม่เห็นด้วยก็จะกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามและศรัตรูทันที่ซึ่งเราจะเห็นกันบ่อยๆ ในสังคมไทยเรา
อย่างที่ทราบพรรคที่ได้เสียงมากสุด คือ พรรคก้าวไกล 151 เสียง พรรคอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย 141 เสียง โดย 2 พรรคนี้จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากมีเสียงข้างมากเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายประชาธิปไตยมาอยู่ด้วยกันและคะแนนเสียงไม่ต่างกันมาก จึงมักจะมีปัญหาเรื่องตำแหน่งต่างๆ เป็นธรรมดาของคนหมู่มากหลากความคิด ควรยุติด้วยการเจรจาอย่างมีสติและ ปัญญาทั้ง 2 ฝ่าย ต้องไม่ไหวหวั่นแม้จะมีขวาก หนาม อันแหลมคม ขวางกั้น หลายประตู แต่ก็ต้องระวัง…เกมพลิกขั้วและ “เกมแย่งชิงอำนาจ” ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอของการเมืองไทย
ที่สำคัญมากๆ ก็คือ 2 พรรคหลัก “ ก้าวไกล -เพื่อไทย” ต่างเป็นความหวังอันสูงส่งของประชาชนที่ลงคะแนนเสียงให้ จะต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐเท่านั้นและช่วยกันแก้ปัญหากับสิ่งที่เป็นปัญหาในขณะนี้…ข้อสำคัญคือประชาชนต่างก็หวังว่า…
“อย่า.!!. ข้ามขั้วในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเด็ดขาด”..! โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยนั้น หากเป็นดั่งกลุ่มที่เสี้ยม…ระวังในอนาคตจะสูญพันธุ์ (หากขาดเจตนารมณ์ของประชาชนผู้เลือก) สมควรที่ 8 พรรค นั่นแหละ จะต้อง “มัดรวมกันไว้ให้แน่นๆ” หรือคนเหนือเรียกว่า “มัดปุ๊ก” กันไว้ แล้วก้าวเดินไปพร้อมๆ จงรักษาคำมั่นสัญญาในวัน MOU ลงนามร่วมมือ…จะได้ใจประชาชน.. ทั้งสมาร์ทและองอาจกว่าเป็นไหนๆ .. !!
เดือน ก.ค.นี้ ความคืบหน้าของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่คงเดินตามไทม์ไลน์ของรัฐบาลวางไว้ ตั้งแต่การเปิดประชุมสภาต่อด้วยการเลือกประธานสภา การเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้ง “โฉมหน้านายกรัฐมนตรีคนใหม่” คนที่ 30 การวางตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ และการเปิดประชุมสภาด้วยจึงชวนติดตามยิ่ง
เดือนเดียวกันนี้หากเป็นไปตามข่าวที่ว่า “ดร.ทักษิณ ชินวัตร “ อดีตนายกฯ จะกลับบ้าน กลับเมืองไทยมาเลี้ยงหลานและยอมติดคุกจากคดีต่างๆ จากที่ตนเองเคยบอกกล่าวไว้… หลังจากจากเมืองไทยไปอยู่ต่างประเทศ ร่วม 17 ปี เหตุการณ์ในวันนนั้นจะเป็นอย่างไรก็ชวนติดตามไม่น้อย…ในขณะอยู่ต่างประเทศก็มีรายการทางสื่อโซเชียลพูดคุยกับเอฟซี. อยู่มิได้ขาดพร้อมเล่าเรื่องต่างๆ ที่เป็นความรู้ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ห่างกันกับคนไทยที่ชื่นชอบ… นอกจากนี้..อดีตนายกฯคนนี้ ยังเคยโพสต์ในทวิตเตอร์ของเขาและพูดในรายการ CARE ClubHouse โดยอ้างคำคมของ “มงแต็สกีเยอ” นักปราชญ์การเมืองชาวฝรั่งเศสที่เคยกล่าวว่า “ไม่มีความเลวร้ายใด ที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม” …ก็เป็นที่สนใจไม่น้อยในเดือนก.ค.’66 นี้ หากเป็นไปตามข่าวซึ่งมาผสมกับบรรยากาศการเลือกนายกฯคนที่ 30 ของไทยพอดี
การเมืองยุคใหม่ในโลกดิจิทัล – ยุคเมตาเวิร์ส (Metaverse) ทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ หลายๆ อย่าง หลายๆมิติ เนื่องจากมีคนหลายยุค หลายเจน หลากเชื้อชาติ หลากวัฒนธรรม ความคิดทางการเมืองก็เปลี่ยนไป… สิ่งที่สำคัญคือมี “การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ฯ” หรือ Paradigm Shift (พาราไดม์ ชิฟท์)ไปแล้ว คือ การเปลี่ยนแปลงความรู้ เทคโนฯ ที่จะนำมาวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบในการแก้ปัญหาใหม่ให้…ร่วมยุคสมัย…. คนรุ่นเก่ามีประสบการณ์มีความรู้ก็จริง แต่คนรุ่นใหม่ก็มีความรู้ที่ลึกและกว้าง เข้าถึงข้อมูลทั่วโลกได้ ก้าวทันเทคโนโลยีแต่ขาดประสบการณ์ ปัจจุบันบริบท (Context) หรือ สถานการณ์ ปัจจัยสภาวะแวดล้อมของคนรุ่นเก่าๆ เปลี่ยนไปแล้ว ล้าหลังแล้ว บางอย่างไม่สามารถนำมาใช้ได้ในยุคนี้ เมื่อบริบทเปลี่ยน วิทยาการ เทคโนโลยี องค์ความรู้เปลี่ยน .. “วิธีคิดคนรุ่นใหม่” (คนเก่าที่คิดใหม่ร่วมยุค – คนใหม่ที่คิดใหม่) ก็เปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นเก่าจึงไม่ควร “ปรามาส” วิธีคิดคนรุ่นใหม่เป็นอันขาด…!??
อย่างไรก็ตาม..คนต่างรุ่นก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและมีความรักสามัคคีในชาติได้ในทุกมิติ…หากทุกรุ่น “เปิดใจ” และ “ให้ใจ”…และ “เข้าใจ” ต่อกัน..แม้กระทั่งการเมือง การปกครองของประเทศ..!!
(หมายเหตุ: บทความนี้เขียนเมื่อ 25 มิ.ย.’66)
