ก็ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่จัดเวที “เจียงฮายวันพูก” ที่สนามหน้าศาลากลางเชียงรายหลังเก่า ให้ผู้สมัครส.ส.ของแต่ละพรรคในจังหวัดเชียงราย ขึ้นเวทีถกแถลงถึงแนวทางการพัฒนาการศึกษาเชียงราย
เท่าที่สังเกตสังกาในวันนั้น ผู้แทนพรรคการเมืองที่ขึ้นเวทีแถลงและตอบข้อซักถามนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้สมัครที่น่าจะเรียกได้ว่า “คนรุ่นใหม่” ซึ่งทุกคนต่างก็ชูนโยบายและแนวทางพัฒนาการศึกษาไทยในระดับมหภาคซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเป็นหลัก
ก่อนจะเสวนาต่อไป ต้องตกผลึกทางความคิดให้ต้องตรงกันชัดๆก่อนว่า “การศึกษา เป็นพื้นฐานพัฒนาประชาชนในประเทศ” ส่วนข้อความต่อไปนี้ท่านไม่จำเป็นต้องคิดตรงกับผม “พรรคการเมืองฟากฝั่งรัฐบาลมักจะไม่อยากนั่งในกระทรวงศึกษาธิการ”
เพราะฉะนั้นการที่จัดเวที “เจียงฮายวันพูก” โดยโฟกัสไปที่การส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาเชียงราย ผมจึงรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก ที่ผู้จัดช่างมีวิสัยทัศน์เชิงพัฒนาและปรารถนาดีต่อบ้านเมืองนี้มาก เพราะวิกฤตประเทศในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ทั้งด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากต้นทุนทางด้านการศึกษาล้วนๆ
จะว่าไป ผมให้เสียดาย คสช.ที่ออกแบบพิมพ์เขียวการศึกษาตีตราโลโก้ “คสช.” ออกมา แบบจี้ใจดำปัญหาการศึกษาประเทศนี้ที่เป็นของร้อนใครก็ไม่อยากแตะ ไม่อยากเจ็บตัวก็คือ ปัญหาด้านการบริหารงานบุคคล ซึ่งมันก็โยงใยไปถึงปัญหาคอรัปชั่น ที่เป็นสาเหตุหลักของการประกาศ คสช.ที่ 19/2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ
ที่ว่าเสียดายก็เพราะ ในรายละเอียดปฏิบัติการมันไปไม่สุดปล่อยเท้งเต้งทิ้งขว้างกลางทาง ให้หน่วยงานกับหน่วยงานในระดับภูมิภาคฟัดกันนัวเนีย สะกดคำว่า “เอกภาพ”กันไม่เป็น อำนาจการบริหารบุคคลที่มีการผ่องถ่ายตามทฤษฎีกระจายอำนาจจากส่วนกลางมาที่ภูมิภาค กลายเป็นดาบให้แต่ละฝ่ายในองค์คณะบุคคลที่มีอำนาจพิจารณาต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
องค์คณะบุคคลที่เป็นผลพวงมาจากคำสั่งคสช.ที่ 19/2560 ก็คือ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ผมจำได้ว่า ภารกิจและหน้าที่หลักตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษาของคณะกรรมการชุดนี้ คือ “พัฒนาการศึกษาตามบริบทของจังหวัด”
เอาเข้าจริง ระยะแรกๆของการบังคับใช้ตามคำสั่ง ในทุกนัดการประชุมกศจ.ทุกเดือนกว่าค่อนรายการประชุมจะเป็นเรื่องเสนอเพื่อพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับครูและบุคลากรทางการศึกษาล้วนๆ ไม่เคยพูดถึงหรือปรึกษาหารือในประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาภายในจังหวัด
จนกระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในขณะนั้น คือ นายประจญ ปรัชญ์สกุล ประธาน กศจ.เชียงราย ถึงกับออกอาการเหลืออดและเปรยในที่ประชุมว่า ตั้งกศจ.มาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย พิจารณาความดีความชอบ ยกย่องเชิดชูเกียรติครูและบุคลากรทางการศึกษาเท่านั้นหรือ?
จำได้ว่าในบอร์ดคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดระยะแรกจะมีประธานหอการค้า ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ร่วมเป็นองค์คณะบุคคลด้วยซ้ำไป แต่ภายหลังปัญหามันกระเพื่อมมากเข้าก็เลยมีการขยับประกาศกันอีกหลายระลอก เช่น แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องบริหารงานบุคคล เรื่องพัฒนาการศึกษา เรื่องแผนและยุทธศาสตร์จังหวัด โดยให้คณะอนุกรรมการพิจารณากันให้สะเด็ดน้ำแล้วค่อยชงเสนอกศจ. จนทุกวันนี้ทำท่าจะพายเรือวนอยู่ในอ่างพร้อมกลับคืนสู่สามัญอยู่รอมร่อ
นี่คือการบริหารการศึกษาในภูมิภาคที่เหมือนกันทั้งประเทศนะครับ ไม่ใช่เฉพาะที่เชียงราย
แต่ที่ไม่เหมือนใครในทุกจังหวัดทั่วทั้งประเทศ โดยแต่ละจังหวัดจะมีอัตลักษณ์และบริบทเฉพาะตนออกไปก็คือประโยคที่ว่า กศจ.ทำหน้าที่“พัฒนาการศึกษาตามบริบทของจังหวัด”
ตรงนี้แหละครับที่ผมพยายามโยงและบอกเล่าท่านผู้อ่านตลอดจนสื่อไปถึงว่าที่ส.ส.เชียงรายทุกท่านทุกเขต ให้ปรับลุ้คความคิดและแนวทางการพัฒนาการศึกษาของจังหวัด เพื่อเชื่อมโยงจากนโยบายพรรคมาทำงานร่วมกับภาคส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน เอกชน ประชาสังคม ในพื้นที่
แค่ตระหนักรู้ถึงพื้นฐานว่า เชียงรายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา มากมายนับคณาด้วยลูกหลานชาวชาติพันธ์…
การสนับสนุนและพัฒนาการจัดการศึกษาโดยบูรณาการกับนโยบายการศึกษาของพรรคต้นสังกัดเพื่อจังหวัดเชียงราย ก็มีอะไรให้ท่านว่าที่ส.ส.ได้คิดและทำเยอะแยะแล้วครับ
ผู้แทนประชาชนยุคใหม่ นอกเหนือจากเรื่องปากท้องประชาชนแล้ว ก็น่าจะมีเรื่องการเตรียมคน เตรียมประชาชนยุคใหม่ได้พัฒนาให้สอดรับกับบริบทของจังหวัดทั้งในปัจจุบันและอนาคตนี่แหละ ที่น่าจะตอบโจทย์บทบาทของผู้แทนปวงชนชาวไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมและจับต้องได้
ภูเขาไม่สูงกว่าปีกนก…ฝากไว้ให้คิดครับท่าน !