วันนี้…สภาพลมฟ้าอากาศของโลกทั้งใบและสภาพอากาศในบ้านเรา…ในเชียงรายเราเอง ยังเป็นเรื่องที่สำคัญและต้องติดตาม เพื่อการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและปลอดภัยของชีวิตในทุกๆ ฤดูกาลแม้ “ฤดูหมอกควัน” ในขณะนี้ ปรากฏการณ์ “โลกร้อน” ยังจะอยู่กับเราตลอดไป…ธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในหลายๆ มิติอยู่ตลอด ซึ่งมีมามากว่า 4,500 ล้านปีมาแล้วและยังจะดำเนินต่อไปอีกไม่สิ้นสุด…ธรรมะ- ธรรมชาติมักเป็นเช่นนี้นี่เองแหละ…เราต้องปรับตัวให้อยู่กับมันให้ได้
ส่วนเจ้ามัจจุราชไร้เงา.. อย่าง “PM2.5” ยังคงเป็นภัยคุกคามคนไทยต่อไป รวมทั้งจังหวัดเชียงรายด้วย…หลายวันทีเดียว ที่มีค่าสีแดงทะลุเกินมาตรฐานไปอย่างน่ากลัว ท้องฟ้า มืดหม่น ฟ้าหลัวทั้งวัน และนับวันจะรุนแรงมากขึ้นจะมีพรรคการเมืองใดจะมาช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง เพราะมันได้กลายเป็น “ภาระและวาระแห่งชาติ” ไปแล้ว..ก็ต้องช่วยกันคิดแก้ไขต่อ อีกอย่างเรื่อง Contact farming หรือ เกษตรพันธะสัญญา ที่มีนายทุนใหญ่หนุนหลังทั้งในและต่างประเทศด้วยคงไม่ง่ายนักแน่…ปีนี้ผลกระทบจากฝุ่นพิษหนักหนาสาหัสมากกว่าปีก่อนๆ ชนิดที่บางบ้าน เครื่องฟอกอากาศยกธงขาว สีแดงหราทั้งวันทั้งคืน เนื่องเพราะร้อนจัดและฝนมาช้านั่นเอง…เราต้องระวังสุขภาพตนเองไว้ก่อนแหละดีที่สุด
คุณภาพอากาศโลกปี 2565 ที่ผ่านมา ของ IQAir (Air Quality Index) (คือ ข้อมูลการวัดคุณภาพอากาศในภาพรวม) ระบุว่า คุณภาพอากาศของไทยแย่พอสมควร ติดอันดับ 5 จากทั้งหมด 9 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอยู่อันดับที่ 57 จาก 131 ประเทศ และทุกภูมิภาคทั่วโลก….ไม่นานมานี้ ข่าวจากสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า กรมควบคุมมลพิษจะมีการปรับค่ามาตรฐาน PM 2.5 ใหม่จากเดิม ในปัจจุบัน)ประเทศไทยจะใช้ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ได้กำหนด “ค่ามาตรฐานอากาศไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร” (เกินนี้ถือว่าอันตราย)… จะได้ปรับเปลี่ยนใหม่ให้ลงมาอยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัมฯ ซึ่งจะทำให้มาตรฐานอากาศดีขึ้น (จาก 50 ไมโครฯ ลดมาเป็น 37.5 ไมโครฯ) ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลที่องค์การอนามัยโลกกำหนด จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มิ.ย.’66 นี้ และ ค่าเฉลี่ยรายปีจากเดิมเคยอยู่ที่ 25 ไมโครกรัมฯ จะปรับลงมาอยู่ที่ 15 ไมโครกรัมฯ/ปี… สรุปคือ ต่อไปไทยเราจะมีมาตรการ เพื่อมาตรฐานค่าเฉลี่ยฯ รอบ 24 ช.ม. เดิม 50 ไมโครกรัมฯ มาเป็นแบบใหม่ให้มีมาตรฐานที่ 37.5 ไมโครกรัมฯ เพื่ออากาศจะได้สะอาดขึ้นกว่าเดิม คงจะต้องมีมาตรการที่เข้มงวด ออกมาบังคับกิจกรรมต่างๆ ในสังคมไทยให้อากาศดีขึ้น.. ว่างั้นเถอะ…ส่วนเชียงรายบ้านเราก็มีมาตรการ ‘ห้ามเผา’ทุกชนิดไปจนถึงหลังเลือกตั้งโน่น….แต่ฝุ่นพิษที่ข้ามพรมแดนเข้ามานี่ซิ …โดยเฉพาะที่ อ.แม่สาย น่าสะพรึงมากเมื่อเห็นค่า PM2.5 แล้ว..น่าสะพรึง..!! จริงๆ
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีการรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งบางพรรคก็เปิดตัวเลือกนายกฯ พร้อมนโยบายการหาเสียงไปแล้ว… ขณะนี้ในสนามแข่งขันก็กำลังเป็นไปอย่างดุเด็ด เผ็ดมัน อ้างสารพัดนโยบายที่จะเรียกคะแนนนิยมได้ เพื่อจะได้มี ส.ส.เข้าไปจัดตั้งรัฐบาลกันใหม่…ที่ผ่านมาผลงานของพรรครัฐบาลเก่าเป็นอย่างไร ค่าครองชีพ ค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมัน ฯลฯ เป็นอย่างไร…คนจน คนมี..ยังสุขสบายอยู่ดีหรือเปล่า.?..ล่ะ!..เลือกตั้งที่จะถึงนี้..คงตัดสินใจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม..จริงไหม..?!
เดือนหน้า อาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566 นี้ เราก็จะได้เลือกตั้ง ส.ส. ใหม่ และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองที่เราชื่นชอบ… จาก 8 ปีที่ผ่านมารัฐบาลเดิม ฝีมือเป็นอย่างไร.. จะรักใคร..ชอบใคร ทั้ง ส.ส.และ “พรรคในดวงใจ” เชื่อว่าหลายๆ คนคงตัดสินใจกันแล้ว…
ปฏิทินการเลือกตั้ง 2566 มีเรื่องชวนติดตามดังนี้ 27 มี.ค.-13 เมษายน ‘66 วันลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าในเขต-นอกเขตเลือกตั้ง และนอกราชอาณาจักร 3-7 เม.ย. วันรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขต 4-7 เม.ย. วันรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 3 พ.ค. วันสุดท้ายเพิ่มชื่อ-ถอนชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 7 พ.ค. วันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต-นอกเขตเลือกตั้ง และวันลงคะแนน ณ ที่เลือกตั้งกลางสำหรับคนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ 7-13 และ 15-21 พ.ค. วันแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง… และวันอาทิตย์ที่ …* 14 พฤษภาคม 2566 วันเลือกตั้ง ส.ส.(สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) หรือ วันเลือกใหญ่ หรือ วันเลือกตั้งทั่วไป ปี 2566…อย่าพลาด.! …หากพลาดท่านจะเสียสิทธิ์นานาประการ…
การเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้ประชาชนตัดสินใจได้ไม่ยากเลย….เพราะเป็นการแข่งขันพรรคการเมือง 2 ขั้วใหญ่ๆ คือ….
- *ขั้วยึดมั่นจารีต-อนุรักษ์นิยมชมชอบ (ที่นิยมอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยบ้าง แต่ใช้อำนาจนิยม / เผด็จการ ที่ไม่เห็นความสำคัญของประชาชนจะทำอะไรตามใจไม่สนใจกติกาต่างๆ แม้จะมีให้ปฏิบัติ) และ 2.* ขั้วก้าวหน้า-เสรีนิยมประชาธิปไตย (ที่ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชนคนในชาติ) ซึ่งดูไม่ยาก ที่ผ่านมาทั้งฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายค้าน มีพรรคใดบ้าง เชื่อว่าประชาชนคงแยกออกกันแล้ว… หากต้องการเห็นประเทศเราเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิมแล้ว..ต้องใคร่ครวญ พิจารณาก่อนตัดสินใจลงคะแนน จะเลือกใคร พรรคการเมืองใด เป็นผู้แทนเรา ต้องอ่านเกมให้ออก และควรลงคะแนนเสียง “เชิงยุทธศาสตร์” ด้วยเพื่อช่วยให้เขาไปเป็นรัฐบาลชุดใหม่ไปบริหารต่อไป
ปัจจัยที่สำคัญของพรรคที่จะชนะการเลือกตั้งในแต่ละครั้งของเมืองไทย หากพิเคราะห์จากที่ผ่านมาจะพบว่า มี 5 ปัจจัยหลักๆ (ไม่เกี่ยวกับ กินกล้วย หรือ กระสุน) มีดังนี้ (1.) นโยบายและความนิยมชมชอบในผลงานของ ส.ส.คนเดิม พรรคเดิม (2.) กระแส (ที่มิใช่กระสุน-เงิน) หมายถึงการกล่าวถึงทางบวก ในวงกว้าง หรือ ความนิยม เชื่อมั่น จากผลงานที่ผ่านมา ของพรรคการเมืองนั้นๆ ทั้งอดีตและปัจจุบัน (3.) ตัวตนบุคลิกของผู้สมัครที่ประชาชนนิยมชมชอบเป็นทุนเดิม (4.) ความเชื่อ ค่านิยม ที่มาจากคนข้างเคียงหรือผู้มีอิทธิพล และ (5.) ปัจจัยสนับสนุนด้านทรัพยากรทางการเมืองแต่ละพรรคและ” ทีมบริหารฯ” ที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เคยประสบความสำเร็จจากอดีต
…อย่าง ไรก็ตาม การที่สมาชิกของพรรคการเมือง รวมทั้ง เอฟซี ที่นิยมชมชอบ หรือกลุ่มต่างๆ ที่มีความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา ที่คล้ายๆ กัน มีการรวมกลุ่มกัน จากกลุ่มเล็กๆ ก็จะขยายเป็นกลุ่มใหญ่ระดับชาติได้ การจะทำอะไรก็มักจะมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันเสมอ ดังที่ฝรั่งเรียกว่า Echo Chamber หรือ ห้องเสียงสะท้อน..อาทิ กลุ่มต่างๆ ในโซเชียล สื่อฯ ทีวี หลายรายการ เป็นต้น
ใครจะพูดอะไร เชื่ออะไร ก็จะเชื่อตามๆ กัน.. เพราะมักจะได้ยิน “เสียงสะท้อน” เสียงก้องกังวานในห้องเฉพาะกลุ่มของตนเองเท่านั้น..หากกลุ่มใดมีลักษณะนี้น่าจะมีผลต่อการเลือกตั้งได้เช่นกัน ทั้งทางบวกและลบ เสียงนี้ยังจะขยายไปยังคนใกล้ชิดคนรุ่นใหม่และเครือญาติด้วย …การเลือกตั้งใหญ่ในเดือนหน้าต้องคิด…ต้องไตร่ตรองให้ดีๆ จะเลือกใคร-พรรคใด เพื่อให้เข้ามาเปลี่ยนอนาคตของประเทศที่เป็นความหวังใหม่ของเรา…ที่สำคัญคือ…เราต้องเลือกพรรคที่คิดว่าจะมาทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากที่บางกลุ่มเคยยากจน ขาดโอกาสและเหลื่อมล้ำ .กลายมาเป็น หายจน มีโอกาส เท่าเทียม ยกระดับตนเอง หายจน ขึ้นชั้นเป็น “ชนชั้นกลาง – ชั้นสูง” ต่อไป…ก็คงจะมีแต่ “นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ดี” เท่านั้น…ที่จะได้ช่วยแก้ปัญหาของประชาชนได้ เหมือนหลายประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว.. !!
