คอลัมน์ » เล่าเล่นๆ เป็นธรรมทาน

เล่าเล่นๆ เป็นธรรมทาน

6 กรกฎาคม 2022
300   0

เมื่อครั้งที่แล้วเราพูดกันถึงวิบัติ 6 และว่าทิฏฐิวิบัติน่ากลัวสุด เพราะหากคิดผิด การทำต่อมาย่อมผิดตามไปด้วย คราวนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องทิฏฐิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือการมีความเห็นถูก คือมีความเห็นที่ถูกตามทำนองคลองธรรม มีกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี อยู่ที่ไหนๆก็ไม่เกิดเภทภัยแก่ตนเองและผู้อื่นนั่นเอง นี่เป็นการปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันในสังคมโลก แต่ในทางปฏิบัติเพื่อพาตนเองพ้นออกไปจากทุกข์ของวัฏสงสารนั้น ยังมีอีก

องค์สมเเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวถึงอริยสัจ คือทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องที่มีอยู่ เป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด มีร่างกายหรือไม่มีร่างกาย อยู่ในภพใด ภูมิใดล้วนมีแต่ทุกข์ทั้งสิ้น จึงทรงสอนเรื่องการพาตัวออกไปจากทุกข์ว่ามีอยู่ และสอนให้ปฏิบัติให้พ้นไปได้จริงหากปฏิบัติไปตามทางที่สอนไว้ เรียกว่ามรรค มีองค์แปด ซึ่งครั้งนี้เราจะมาพูดถึงสัมมาทิฏิฐิ ซึ่งทรงบัญญัติไว้เป็นข้อแรกสุด

เมื่อกล่าวถึงสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกนั้นถูกอย่างไร ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนแค่การทำตัวเป็นพลเมืองดี มีศีลธรรมและไม่ผิดกฏหมายเท่านั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมากยิ่งกว่านั้น เพราะทรงเห็นแจ้งแทงตลอดซึ่งทุกข์ในวัฏสงสารว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดวนเวียนเปลี่ยนไปมาจากภพนั้นสู่ภพนั้นด้วยเหตุแห่งการกระทำของแต่ละคน ทรงเรียกว่ากรรม และทรงเห็นหนทางออกจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ด้วยอริยมรรค คือมรรคมีองค์ 8 นี่เอง

ในการวางสัมมาสทิฏฐิเพื่อการปฏิบัติในอริยมรรคนี้ อันดับแรกเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คนเราหรือมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นแค่สิ่งเดียวที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ แต่ยังมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่ต้องเวียนตายเวียนเกิดเช่นกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า สัตตานัง คือสิ่งที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมดในวัฏสงสารนี้ล้วนเป็นสัตตานังหรือสัตว์โลกทั้งสิ้น และสัตว์เหล่านี้ต่างเกิดมาเพราะความหลงติดในโลก หลงติดในภพภูมิของตนแล้วสร้างกรรม ตัวกรรมนี่เองที่ส่งผลให้สัตว์หรือสัตตานังนี้ต้องเวียนตายเวียนเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุคือกรรมที่สร้างไว้นั่นเอง ดังนั้นสัตว์คนหรือมนุษย์นี้จึงไม่ได้เวียนเกิดมาแค่เป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดเป็นสัตว์ต่างๆได้ทุกชนิดที่มีอยู่ในโลกทั้งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตามนุษย์และทั้งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ที่เรียกว่าเป็นอทิสมานกาย คือสัตว์ที่สร้างกรรมแล้วไปเกิดตามผลกรรมให้เป็นอทิสมานกายคือสัตว์นรกและสัตว์ในเทวภูมิ นี้ล้วนสามารถเวียนว่ายไปมาได้ตามกรรมนั่นเองจึงทรงเรียกทั้งหมดนี้ว่าวัฏสงสาร เรียกการไปการมานี้ว่าสังสารวัฏ

วัฏสงสาร คือวังวนของการเวียนตายเวียนเกิดของเหล่าสัตว์นี้มีกาลคือเวลาที่ยาวนานหาที่สุดไม่ได้ หาที่เริ่มต้นไม่ได้ดังนั้น เหล่าสัตว์จึงเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในนี้นับเอนกอนันตชาติ จากภพนี้สู่ภพนั้นไม่รู้สิ้นเช่นกัน ภพ คือการได้สภาวะคือได้เป็นอะไรก็ติดในภพนั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านเล่าว่าท่านต้องไปเกิดเป็นสุนัข 500 ชาติเพราะเมื่อได้เกิดแล้วก็ตน ความเป็นตนนี่เองที่สร้างภพต่อมา ความติดในสภาวะที่เป็นนั้นก็เหมือนกับเราที่คิดและรู้ว่าตัวเองเป็นคนก็ติดในความเป็นคน รักในความเป็นคนของตัวเองก็อยากเกิดเป็นคนต่อไปนี่เอง นี่เรียกว่าภพ ภูมิ ก็คือที่ๆไปเกิดเช่นภูมิมนุษย์ ภูมิเทวดา ภูมิพรหมและภูมิอบาย วัฏสังสารนี้จึงมีถึง 31 ภูมิให้เหล่าสัตว์เวียนไปเกิดตามกรรมของตนนั่นเอง

31 ภพภูมิ จึงเป็นที่เวียนตายเวียนเกิดของเหล่าสัตว์ มีอบายภูมิ 4 มนุษย์ สวรรค์ 6 รูปพรหม 16 อรูปพรหม 4 นี่สัตว์ทุกตัวตนย่อมเวียนไปเกิด เราล้วนรู้กันดีอยู่แล้วว่าหากจะถามถึงความสุขทุกข์ในแต่ละภูมิแล้วทุกข์ใดๆย่อมผ่อนเบาลงไปทันทีหากพูดถึงอบายภูมิคือนรก เปรต อสุรกายและเดรัจฉาน ล้วนไม่อยากไปเกิดที่นั่นกันทั้งสิ้น และเพราะความได้ภูมิมนุษย์มาแล้วนี้ เราย่อมติดในความเป็นมนุษย์ ความยึดในความเป็นมนุษย์จึงมีมาแต่เกิด คิดและทำอะไรก็เห็นแต่ความเป็นมนุษย์ของตน ทำอะไรก็เพื่อความเป็นมนุษย์ เกิดใหม่ก็ยังอยากเกิดเป็นมนุษย์ นี่เองคือสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่าอุปทานขันธ์ 5 ซึ่งจะกล่าวภายหลัง ตัวนี้เองที่เป็นตัวส่งให้สัตว์ต้องเวียนตายเวียนเกิดอย่างไม่รู้สิ้น ความหลงยึดนี้ก่อให้เกิดการเกิดสืบต่อไป แต่ใช่ว่าความหลงในภพของมนุษย์นี้จะพาให้การเกิดใหม่ได้ภพมนุษย์สืบต่อไปเลย หากแต่สิ่งที่สร้างไว้ต่างหากเป็นเครื่องกำหนด 31 ภพภูมิจึงเป็นที่ไป คนๆหนึ่งอาจตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือเป็นสัตว์ในอบายได้ทั้งสิ้นด้วยผลของการกระทำและความคิด

การวางความเห็นถูกในทางพุทธศาสนาจึงเริ่มที่การเห็นว่าคนเรานี้มีการเวียนตายเวียนเกิดจริง นรก สวรรค์ พรหมมีจริง และหนทางออกจากวัฏสงสารนี้มีอยู่จริง เมื่อเห็นตามนี้แล้วการปฏิบัติเพื่อการออกจากวัฏสงสารคือวัฏฏ์แห่งทุกข์นี้ก็ใช่ว่าจะมีหนทางเดียว แต่มีทั้งถูกทางและผิดทาง ดังนั้นการปฏิบัติจึงต้องศึกษาเพื่อเป็นหนทางไปให้ถูกต้องตรงทางตามอริยมรรค เพราะหากเริ่มต้นผิด ผลย่อมผิดตามไปด้วย ดังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงวางสัมมาทิฏฐิเป็นข้อแรกนั่นเอง ซึ่งเราจะมากล่าวถึงกันในครั้งต่อไปค่ะ



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า