- สรุปและข้อเสนอแนะ
“พ่อค้าและนักธุรกิจ”เป็นกลุ่มอาชีพและเป็นชนชั้นที่มีความสำคัญยิ่งในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีการเมืองการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย การพัฒนาประเทศในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นระบบเสรีนิยม หรือสังคมนิยม ต่างให้ความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อนำสังคมไปสู่ความก้าวหน้า เพื่อแข่งขันกับนานาประเทศได้ ดังนั้น หากประเทศใดมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่ดี หรือมีความเจริญก้าวหน้าในธุรกิจอุตสาหกรรมและการส่งออกย่อมได้เปรียบประเทศคู่ค้าคู่ขาย พ่อค้าและนักธุรกิจเป็นผู้มีบทบาทและเป็นกลไกสำคัญต่อการลงทุน การผลิต และการตลาด การได้เปรียบทางเศรษฐกิจ จึงเป็นอำนาจที่ทุกสังคมปรารถนา
“พ่อค้าและนักธุรกิจ” กับระบบการเมืองไทย ได้พัฒนาและเจริญเติบโตมาตั้งแต่สมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งพ่อค้าวาณิชในขณะนั้น มีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระมหากษัตริย์ ราชวงศ์และขุนนาง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ความสำคัญของพ่อค้าและนักธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้นตามกระแสการเติบโตของระบบทุนนิยมโลก
“พ่อค้าและนักธุรกิจ” กับระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา จึงมีความสำคัญที่ต้องใช้อำนาจทางเศรษฐกิจเป็นอาวุธ หรือเป็นเครื่องมือในการ แข่งขัน พ่อค้าและนักธุรกิจกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญของ “รัฐ” และเป็นชนชั้นผู้นำของสังคม ซึ่งแตกต่างกับพ่อค้าและนักธุรกิจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พ่อค้าวาณิชเป็นเพียงเครื่องมือของชนชั้นปกครองเท่านั้น แม้ว่าพ่อค้าและนักธุรกิจจะสร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคม ขณะเดียวกันก็อาจส่งผลกระทบต่อสังคมได้เช่นกัน ทั้งนี้เพราะ “อำนาจทางเศรษฐกิจ” ย่อมส่งผลต่อ “อำนาจทางการเมือง” ที่พ่อค้าและนักธุรกิจ อาจแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงต่อความหายนะของประเทศชาติ
ระบบเศรษฐกิจและระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตย จึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญที่จะเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน ภายใต้กระแสเศรษฐกิจของระบบทุนนิยมโลกในปัจจุบัน เพื่อบรรลุเป้าหมายของการพัฒนา ทั้งทางด้านสังคมการเมือง และเศรษฐกิจของชาติ คณะผู้วิจัยมีแนวคิดและข้อเสนอแนะที่จะใช้เป็นแนวทางการป้องกัน มิให้เกิดความเสียหายต่อสังคมไทย ดังนี้
1.มาตรการด้านการศึกษา
- ควรต้องปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมทางการเมืองให้แก่บุคคลทั่วไป ให้ตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ทางสังคม ที่มีต่อประเทศชาติ โดยระลึกเสมอว่า ทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาและสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
- ควรให้มีการเรียนการสอนวิชา “ประชาธิปไตย” ในระดับการศึกษาภาคบังคับ และมัธยมศึกษา โดยเน้นเนื้อหาด้านการเมืองการปกครอง เช่น การเลือกตั้ง การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้ เข้าใจแนวคิดและทฤษฎีด้านการเมืองระบอบต่างๆ
- ควรให้การอบรม เรื่องประชาธิปไตยแก่ กลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มแม่บ้าน ครู กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน ผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ข้าราชการ และ ฯลฯ เพื่อให้เข้าใจกระบวนการประชาธิปไตย และต่อต้านการทุจริตการเลือกตั้ง และการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
2.มาตรการด้านสังคม
- ควรส่งเสริมให้สถาบันครอบครัว ชุมชน และสังคมร่วมรับผิดชอบสังคม โดยใช้กระบวนการ การเรียนรู้ทางสังคม (Socialization) ด้านการเมือง โดยถือว่าการเมือง คือ ปัญหาของทุกคนที่ต้องมีส่วนร่วมการปลูกฝังสมาชิกรุ่นใหม่ให้มีความรู้สึกที่ดีต่อระบบการเมืองและระบบรัฐสภา
- ควรส่งเสริมให้สถาบันครอบครัว เป็นหน่วยสังคมพื้นฐาน เพื่อถ่ายทอดและเปิดโอกาสให้สมาชิกได้เข้าใจระบบการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง
- ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองและกิจกรรมทางการเมืองอย่างอิสระ เพื่อปลูกฝังแนวคิดระบอบประชาธิปไตย
- ควรให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างกว้างขวาง และสามารถวิพากษ์วิจารณ์ ได้อย่างอิสระตามสิทธิและหน้าที่ของประชาชนไทย
- ควรให้ชุมชนและสังคม โดยเฉพาะระดับตำบล หมู่บ้าน ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการเมืองอย่างทั่วถึง และสม่ำเสมอ
- ควรให้ประชาชนได้ใช้สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ในการแสดงประชามติ และพลังความคิดโดยเสรี โดยการให้รางวัลทางสังคมแก่นักการเมืองที่มีคุณภาพ และลงโทษทางสังคมต่อนักการเมืองที่ฉ้อฉล
3.มาตรการด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ
- ควรเปิดเผยข้อมูลที่ประชาชนสามารถติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพ่อค้าและนักการเมืองอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในเรื่องที่อาจเกิดการทุจริต ฉ้อราษฎรบังหลวง
- ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมกิจกรรมทางการเมือง โดยการแสดงความคิดเห็นด้านการเมืองและด้านวิชาการทางสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ได้อย่างเสรี
- ควรผลิตสื่อ สิ่งตีพิมพ์ทางด้านการเมืองสำหรับประชาชนทุกระดับอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนทราบความเคลื่อนไหวทางการเมือง
- ควรจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมความรู้ด้านการเมืองร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ กรมการปกครอง เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารจากระดับรัฐสภาไปสู่ภูมิภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน
- ควรให้ประชาชนทั่วไปได้รับฟังและร่วมแสดงความคิดเห็นกับผู้นำทางการเมืองในกรณีที่ต้องชี้แจงและอธิบายเหตุผล โดยมีลักษณะเป็นการสื่อสารแบบสองทาง (Two-way communication) เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่สร้างสรรค์และมีคุณภาพ
- ควรให้สื่อมวลชน (เอกชน) มีส่วนร่วมในการรณรงค์ส่งเสริมประชาธิปไตยเพื่อสร้างรูปแบบใหม่ๆ ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ
4. มาตรการด้านการเมือง
- ควรปลูกจิตสำนึกทางการเมืองให้แก่ผู้สนใจการเมืองและนักการเมืองตลอดจนผู้ต้องการสมัครรับเลือกตั้งให้ตั้งอยู่ในอุดมคติทางการเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ทรัพยากร และเศรษฐกิจของประเทศชาติ
- ควรจัดทำคู่มือ “นักการเมือง” และ “พ่อค้าและนักธุรกิจ” เผยแพร่เฉพาะกลุ่มนักการเมืองหรือพ่อค้าและนักธุรกิจ เพื่อให้มีความรู้สึกรับผิดชอบและแยกแยะสิ่งถูกและสิ่งผิดคู่มือเหล่านี้จะเป็นเครื่องเตือนใจและเป็นการตีกรอบเพื่อให้ประชาชนรับรู้ว่าพฤติกรรมทางการเมืองอย่างไรจะเป็นที่พึงประสงค์ของสังคม
- ควรจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัคร “ประชาธิปไตย” ขึ้นในโรงเรียน หรือชมรมประชาธิปไตย โดยมีครูและอาจารย์เป็นที่ปรึกษาและผู้ให้คำแนะนำ กิจกรรมเสริมหลักสูตรเช่นนี้ควรต้องมีความต่อเนื่อง โดยนำวิธีการบทบาทสมมุติ (Role Play) มาใช้
- ควรสร้างเครือข่ายการให้ความรู้ด้านประชาธิปไตย ระบบการเมือง ระบบพรรคการเมืองและระบบรัฐสภาในกลุ่มศิลปิน นักร้องนักแสดงให้สอดแทรกแนวคิดด้านประชาธิปไตยต่อสาธารณชนเพราะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนทุกระดับ
- ควรขอความร่วมมือองค์กรศาสนา วัด ให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อนำไปถ่ายทอดสู่ศาสนิกชนในนิกาย
5.มาตรการด้านกฎหมาย
- ควรมีกฎหมายเลือกตั้งที่มีบทลงโทษต่อผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัดในเรื่องทุจริต การซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทั้งผู้รับสินบนและผู้ให้สินบนในลักษณะต่างๆ
- ควรให้อำนาจองค์กรกลางในการตรวจสอบ สืบสวน และสอบสวน ผู้มีพฤติกรรมทุจริตในการเลือกตั้ง
- ควรมีกฎหมาย “การฉ้อราษฎรบังหลวง” อย่างเคร่งครัดและเฉียบขาดเพื่อถอดถอนหรือและห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต สำหรับพ่อค้าและนักธุรกิจควรมีบทลงโทษ เช่น ยึดทรัพย์ ปรับ และจำคุก
6.มาตรการทั่วไป
- ควรกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวทางการเมือง โดยชี้ให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในสังคม ระบบการเมืองมิใช่เป็นสิ่งเลวร้าย ปัจเจกบุคคลต่างหากที่อาจทำให้ระบบการเมืองเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะการมีอำนาจไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจหรืออำนาจทางการเมืองมักจะถูกทำให้กลายเป็นความชอบธรรมได้ การเฝ้าติดตามพฤติกรรมของผู้แสวงหาอำนาจทั้งพ่อค้าและนักธุรกิจกับนักการเมืองในระบบรัฐสภาจะเป็นการควบคุมทางสังคม
- ในระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย ควรต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้เข้ามามีส่วนร่วมบริหาร รู้จักใช้สิทธิและหน้าที่ตามระบบการปกครอง มีการกระจายและถ่วงดุลอำนาจภายในสังคม
- การลดการผูกขาด การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของกลุ่มพ่อค้าและนักธุรกิจกับ นักการเมืองในระบบรัฐสภา จะสร้างประชาสังคมให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
- สร้างมาตรฐานการตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อกำจัดระบบ “ฮั้ว” ที่พ่อค้าและนักธุรกิจหวังแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับนักการเมืองในโครงการสำคัญๆของรัฐ
- สร้างกฎเกณฑ์เพื่อตัดวงจรความสัมพันธ์ระหว่างขั้วทางเศรษฐกิจและขั้วทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อความเสียหายต่อทรัพยากรและระบบการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย
- กระจายอำนาจให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียงและมีอำนาจต่อรองไม่ตกเป็นเหยื่อทั้งพ่อค้าและนักธุรกิจ ตลอดจนนักการเมืองที่หวังผลประโยชน์โดยมิได้คำนึงถึงความอยู่รอดของบ้านเมือง
กล่าวโดยสรุป พ่อค้าและนักธุรกิจกับระบบรัฐสภาในระบบทุนนิยมเป็นปฏิสัมพันธ์ของระบบเศรษฐกิจกับระบบการเมือง กลุ่มนักธุรกิจประกาศตัวและเข้าร่วมในระบบการเมืองมากขึ้นเพราะเล็งเห็นว่า “อำนาจทางการเมือง” สามารถปกป้องและอำนวยประโยชน์ทางธุรกิจ และเป็นการเสริมสร้างพลัง “อำนาจทางเศรษฐกิจ” อย่างไม่มีขีดจำกัด โดยความเป็นจริงพ่อค้าและนักธุรกิจก็คือ “นายทุน” ที่ต้องการผลกำไรอยู่เสมอ ตราบใดที่ระบบรัฐสภายังแข็งแกร่ง พ่อค้าและนักธุรกิจก็ไม่อาจได้อำนาจทางการเมืองตามที่ต้องการแต่หากนักธุรกิจทุ่มเทและหวังได้อำนาจยิ่งขึ้นโดยการทุ่มทุนจากต่างชาติ หรือธุรกิจข้ามชาติเพื่อใช้ระบบรัฐสภาเป็นฐานทางการเมืองและฐานทางเศรษฐกิจแล้ว จุดเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้าและนักธุรกิจจึงขยายขอบเขตไม่ใช่พ่อค้าและนักธุรกิจไทยเท่านั้น “ทุนต่างชาติ” และ “นักธุรกิจต่างชาติ” ที่มีจำนวนเงินทุนมหาศาลอาจทำอันตรายต่อระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ค่อยๆ พัฒนามานานเกือบ 90 ปี จุดอันตรายนี้จะทำให้เกิดภัยพิบัติไม่เพียงแต่ระบบการเมืองการปกครองของไทยแต่จะรวมไปถึงระบบสังคมวัฒนธรรมและความเป็นชาติไทยด้วย