- พ่อค้าและนักธุรกิจกับประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
การก้าวเข้ามาสู่เวทีทางการเมืองของพ่อค้าและนักธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือระบบรัฐสภา จำแนกได้ดังนี้
- การเข้ามาสู่ระบบรัฐสภาทำให้เกิดความแปรปรวนในระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย เป็นการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองภายใต้เงื่อนไขของการแข่งขันรับเลือกตั้ง ผู้ที่ต้องการชนะการเลือกตั้งต้องลงทุนและสร้างพันธมิตรภายใต้พันธสัญญา หากผลการเลือกตั้งบรรลุเป้าหมาย หนี้สินที่ต้องชำระคืน คือ “บุญคุณ” และ “ผลประโยชน์” ที่อาจมีมูลค่ามหาศาล
- เป็นการทำลายความชอบธรรมทางการเมือง โดยการสร้างเงื่อนไขการได้รับคะแนนเสียงจากเม็ดเงินที่ทุ่มเทลงไป โดยขาดจิตสำนึกแห่งเจตนารมณ์แบบประชาธิปไตย แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องการใช้เงินในการหาเสียงก็ไม่เคารพ และใช้วิธีการใต้โต๊ะอย่างสกปรก เพื่อมุ่งหวังเพียงคะแนนเสียงที่จะต้องชนะผู้แข่งขันคนอื่นๆ ในบางครั้งยังมุ่งร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายสนับสนุนหรือเป็นหัวคะแนน
- การเลือกตั้งเป็นเพียงเกมการเมือง ที่มิได้มุ่งหวังอธิบาย ชี้แจงให้เข้าใจเจตนา-รมย์ อุดมการณ์ นโยบายของพรรคของตน ในทางตรงกันข้ามกลับใช้เวทีการหาเสียงเป็นสถานที่โจมตี ขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของผู้รับสมัครเลือกตั้งคนอื่น ๆ มากกว่าที่จะชี้ให้เห็นข้อดี ข้อด้อยของนโยบายพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่มีความสำนึกที่จะปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมทางการเมืองให้แก่ประชาชน สิ่งที่ต้องการประกาศเป็นเพียงต้องการทำลายผู้อื่น และเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกตั้งเท่านั้น
- พ่อค้าและนักธุรกิจที่ได้มีโอกาสเข้ามาสู่ระบบรัฐสภายังคงมีเครือข่ายโยงใยกับกลุ่มธุรกิจเดิม ขณะเดียวกันก็แสวงหาลู่ทางในการขยายและประสานผลประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เพื่อผลักดันให้บรรดาพรรคพวกนอกรัฐสภาได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาล นักการเมืองที่มีพื้นฐานการเป็นพ่อค้าและนักธุรกิจไม่ปล่อยโอกาสที่จะให้โครงการชิ้นโตหลุดไปได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจสัมปทาน ธุรกิจรับเหมา ธุรกิจใบอนุญาต ก็จะระลึกถึงกลุ่มธุรกิจและพรรคพวกที่เคยมีผลประโยชน์ร่วมกันมาก่อนให้ได้สิทธิพิเศษ ได้รับเอกสิทธิ์โครงการต่าง ๆ ในกรณีที่บางโครงการได้ผ่านการอนุมัติไปแล้ว ก็อาจเรียกกลับมาทบทวน เปลี่ยนเงื่อนไข เพื่อให้ตรงกับบริษัท หรือกลุ่มพรรคพวกของตนเอง
- นักการเมืองที่มาจากการเป็นพ่อค้าและนักธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่มีความพยายามที่จะพัฒนาพื้นที่จังหวัดของตน โดยอาศัยอำนาจทางการเมืองบังคับข้าราชการประจำให้นำโครงการพัฒนาต่างๆ มาลงพื้นที่จังหวัดของตน ทั้งนี้ก็เพื่อหวังผลทางจิตวิทยา โดยการอ้างว่าได้ทำคุณประโยชน์เพื่อที่จะได้รับเลือกเข้ามาอีกในครั้งต่อไป
- คุณภาพของตัวนักการเมืองที่เป็นพ่อค้าและนักธุรกิจจำนวนไม่น้อยขาดจิต-สำนึกทางการเมือง ขาดจริยธรรมทางการเมือง และขาดองค์ความรู้ทางการเมือง หลักรัฐศาสตร์ กฎหมาย หลักการบริหารทางการเงินการคลัง หลักเศรษฐศาสตร์ นักการเมืองต่าง ๆ เหล่านี้มีความภูมิใจที่สามารถเอาชนะคู่แข่งขันด้วยพลังแห่งเงินตรา ไม่ใช่พลังแห่งศรัทธาแต่อย่างใด เมื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วไม่ค่อยเข้าใจปัญหาบ้านเมืองอย่างลึกซึ้ง จึงมีความเข้าใจเพียงแต่จะพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง เพื่อสร้างฐานแรงศรัทธา เพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ ไป พฤติกรรมดังกล่าวจึงเป็นนักการเมืองของจังหวัดของตน มิใช่นักการเมืองของประเทศที่คำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
- การก้าวเข้ามาสู่รัฐสภาของพ่อค้าและนักธุรกิจเป็นการสร้างความสับสนให้แก่วัฒนธรรมทางการเมือง ระหว่างการเลือกพรรคการเมืองเพื่อเข้ามาบริหารประเทศ หรือจะเลือกคนดีมีศีลธรรม หรือจะเลือกคนที่หยิบยื่นเงินตราเพื่อให้ไปใช้สิทธิเลือกบุคคลนั้นๆ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นับเป็นปัญหาและผลกระทบต่อสถาบันการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะการมอมเมาประชาชนด้วยคำพูดและเงินตราทำให้ผู้ยากไร้และด้อยโอกาสที่จะเข้าใจเรื่องการเมืองต้องตกเป็นเหยื่อของพ่อค้าและนักธุรกิจที่ต้องการเพียงคะแนนเสียงเท่านั้น
สภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาจากภายนอกจะเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติและเป็นดัชนีชี้ให้เห็นความชอบธรรมของกระบวนการในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทหาร รัฐบาลเผด็จการ หรือการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ และดูเหมือนว่าจะมีความเหมาะสม สมบูรณ์ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจ ความเจริญก้าวหน้า
ของเสรีภาพทางการค้าและระบบตลาดโลกทำให้ความตื่นตัวเกิดขึ้นจากประชาชน โดยเฉพาะคนชั้นกลางมากขึ้น ปรากฏการณ์ดังกล่าวเช่นนี้แตกต่างไปจากอดีตที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจการเมือง และไม่กล้าเข้าไปมีบทบาททางการเมือง การเมืองมีโครงสร้างและหน้าที่แตกต่างไปจากธุรกิจ นักธุรกิจที่เคยทำมาค้าขายจะมีขอบเขตจำกัดในวงแคบ ไม่มีการตื่นตัวในด้านการผลิตเพื่อการส่งออก บรรดาพ่อค้าและนักธุรกิจชั้นนำก้าวขึ้นมาจากกิจการของบรรพบุรุษ ซึ่งมีลักษณะเป็นธุรกิจระบบครอบครัว เครือญาติ มิได้ขยายวงออกไปสู่ระดับนานาประเทศ ธุรกิจเริ่มเปลี่ยนแปลงจากการส่งสินค้าอย่างที่มาจากทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นแรงหนุนที่สำคัญทำให้ระบบธุรกิจเติบโตขึ้น จนทำให้พ่อค้าและนักธุรกิจที่เริ่มกิจการเล็กๆ ก้าวมาสู่ชั้นแนวหน้าระดับนานาชาติได้ บทบาทของพ่อค้าและนักธุรกิจจึงกลายมาเป็นชนชั้นใหม่แทนชนชั้นข้าราชการซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความมั่นคงทางอาชีพสูง ปรากฏการณ์สมองไหลจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนเป็นสิ่งยืนยันว่าธุรกิจนั้นเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม และเริ่มเกี่ยวข้องกับการเมืองมากยิ่งกว่าเดิม
ในขณะเดียวกันก็อาจพบว่า การเข้ามาสู่ระบบรัฐสภาของพ่อค้าและนักธุรกิจก่อให้เกิดการผูกขาดและเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ภายในกลุ่มพรรคพวก การก้าวเข้ามาสู่รัฐสภากลายเป็นการลงทุน และต้องใช้เงินทองจำนวนมหาศาลเพื่อต้องการเอาชนะการเลือกตั้งเท่านั้น ทำให้นักการเมืองที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองค่อยๆ หมดไป และถูกแทนที่โดยกลุ่มพ่อค้าและนักธุรกิจ ซึ่งอาจเห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นการก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล เจ้าพ่อ ซึ่งพ่อค้าและนักธุรกิจต้องพึ่งพาและอาศัยอำนาจบารมีเพื่อบีบบังคับ หรือซื้อเสียงจากประชาชน เพื่อมุ่งหวังคะแนนเสียงให้มากที่สุด ผลกระทบที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือเป็นการทำลายระบอบการเมืองการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย และสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่เน้นระบบเงินตราหรือที่เรียกว่า “ธนาธิปไตย” ทำให้เกิดค่านิยมใหม่ว่า ผู้ที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้รับเลือกตั้ง และถ้าหากไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะมิให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของพ่อค้าและนักธุรกิจที่ซื้อเสียงเข้ามา ก็จะทำให้สถาบันรัฐสภากลายเป็นที่รวมของบรรดาพ่อค้าและนักธุรกิจที่เข้ามาใช้เป็นสถานที่ประกอบการ โดยมีประเทศชาติเป็นวัตถุดิบและแหล่งทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจในกลุ่มพรรคพวกของตน นอกจากนี้ยังทำให้บรรยากาศทางการเมืองมีลักษณะผูกขาดเพียงบางกลุ่ม ขณะเดียวกันก็มีการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกัน การถูกรุมเร้าเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ประเทศชาติ เพราะกลุ่มผลประโยชน์กำลังใช้ประเทศชาติเป็นเดิมพันทางการเมืองเพื่อชิงชัยชนะให้ได้เสียงมากที่สุดเพื่อสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พันธมิตรทางการเมือง หรือการประสานประโยชน์ระหว่างพรรค การสลับขั้วทางการเมืองเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกครั้งภายหลังการเลือกตั้ง ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ในวงการการเมือง
การวิจัยเรื่องพ่อค้าและนักธุรกิจกับระบบรัฐสภาไทย มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย โดยต้องการตอบประเด็นปัญหาการวิจัยว่า พ่อค้าและนักธุรกิจมีความสัมพันธ์อย่างไรกับระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ในทางกลับกัน ระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตยของไทยมีความสัมพันธ์อย่างไรกับพ่อค้าและนักธุรกิจ ผลการศึกษาข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ การเมืองและเศรษฐกิจของไทย สามารถอธิบายได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้าและนักธุรกิจกับระบบรัฐสภาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มีทั้งทางตรงและทางอ้อม ใน แบบทางตรง พ่อค้าและนักธุรกิจที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงจะได้รับการคัดเลือกและได้รับการเสนอชื่อเพื่อทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในสภาสูงหรือที่เรียกว่าพฤฒิสภา (วุฒิสภา) ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยวุฒิสมาชิกถือว่าเป็นบุคคลสำคัญ เพราะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยของไทยมีสภาพไม่มั่นคงอำนาจรัฐมีการเปลี่ยนไปมาระหว่าง รัฐบาลทหารและพลเรือน การเสนอชื่อวุฒิสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งในวุฒิสภาเป็นไปตามความต้องการของคณะรัฐบาล หรือคณะรัฐประหารในขณะนั้น สัดส่วนสาขาวิชาชีพของวุฒิสมาชิกในวุฒิสภาจึงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าควรจะประกอบด้วยผู้ที่มีวิชาชีพแต่ละอย่างจำนวนเท่าใด ดังนั้นจึงปรากฏว่าผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในวุฒิสภาส่วนใหญ่เป็นข้าราช-การทหารและพลเรือนมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วงที่อำนาจรัฐอยู่ภายใต้รัฐบาลทหาร ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง 2512 แต่ในสมัยที่ระบอบประชาธิปไตยเบ่งบานสัดส่วนของพ่อค้าและนักธุรกิจได้รับการแต่งตั้งได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา การเข้าสู่ระบบรัฐสภาของกลุ่มวุฒิสมาชิกนั้น ถือว่าสมาชิกวุฒิสภาคือผู้ทรงคุณวุฒิ และไม่มีเส้นทางทางการเมืองที่จะปรับเปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งเป็นฝ่ายบริหาร หรือจัดตั้งคณะรัฐบาลได้เหมือนการเข้ามาสู่ระบบรัฐสภาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร