ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH) เปิดเผยต่อสื่อมวลชน พร้อมด้วย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ ว่าโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ จ.เชียงราย ตลอด 2 ปี ที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เครือ BCH เป็นเอกชนที่ดูแลผู้ป่วยมากที่สุดโดยมีผู้ป่วยยืนยันหรือ RT-PCR เข้ารับการรักษากว่า 1.7 ล้านคน และมีโรงแรมในเครือ 43 แห่ง มีห้องรองรับประมาณ 16,000 ห้อง สามารถตรวจผู้ป่วยได้วันละ 18,000 คน มีเตียงผู้ป่วยหนักและปานกลาง หรือสีแดงและเหลือง ประมาณ 18,000 เตียง ดังนั้นเมื่อมีการระบาดเข้ามาของไวรัสสายพันธุ์โอมีครอนก็สามารถเพิ่มห้องพักโรงแรมรองรับได้เป็น 18,000 ห้อง
ในส่วนของการจัดหาวัคซีนนั้น ภาคเอกชนสามารถจัดหาทางเลือกได้ซึ่งจากทฤษฎีใหม่พบว่าการจะทำให้มีภูมิคุ้มกันได้ผล 78% ต้องไม่ฉีดไขว้แต่ต้องเป็นแบบ mRNA จำนวน 3 เข็มติดต่อกัน อย่างไรก็ตามในประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนตามสูตรต่างๆ กันมามากแล้วจึงเห็นว่าต้องเริ่มต้นกันใหม่เพราะคาดว่าโควิด – 19 จะยังคงอยู่กับสังคมไปอีกอย่างน้อย 2 ปี ส่วนยารักษานั้นที่ยอมรับกันทั่วโลกมี 2 ชนิดคือโมโนพิราเวียร์ที่ให้ผล 37-60% และแพกซ์โลวิด 89% แต่กรณีประเทศไทยเราใช้ฟาวิพิราเวียร์ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่กี่ประเทศที่ใช้และผลิตในประเทศญี่ปุ่น สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยถูกยกให้เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปทำให้ไม่ได้รับสิทธิบัตรของยารักษา 2 ชนิดแรก ดังนั้นจากการที่ BCH ได้เข้าไปสร้างโรงพยาบาลของไทยแห่งแรกที่นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว โดยมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมาไปแล้ว และได้ประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงเตรียมจะขอนำเข้ายารักษาโควิด-19 ยี่ห้อโมโนพิราเวียร์และแพกซ์โลวิดดังกล่าว เนื่องจาก สปป.ลาว ได้รับสิทธิบัตรในสูตรยาดังกล่าวแล้วโดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ
ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าวว่า ในการสร้างโรงพยาบาลใน สปป.ลาว เป็นแห่งแรกดังกล่าวมีขนาด 250 เตียง หลังเปิดได้เพียง 43 วัน ก็มีผู้ไปใช้บริการล้นหลามวันละกว่า 200 รายโดยเป็นคนลาว 75% และชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน 25% ส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะที่มียอดจ่ายมากกว่าการรักษาในประเทศไทยถึง 2 เท่าตัวและมีประเภทโรคและการรักษามากกว่าทำให้มีรายได้แล้วประมาณ 40 ล้านบาทและเมื่อครบ 1 ปีคาดว่าจะถึง 800 ล้านบาท และคงต้องเพิ่มเตียงเป็น 300-350 เตียง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะมีการระบาดของโควิด-19 และโรงพยาบาลจากประเทศไทยมีชื่อเสียงสูงและได้รับการยอมรับ ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยเฉพาะ 2 ชั้นซึ่งตรงกับนโยบายของทางการ สปป.ลาว ที่ต้องการแบ่งเบาผู้ป่วยที่มีฐานะให้ไปยังโรงพยาบาลเอกชนโดยตรง
ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าวอีกว่า เมื่อมองในภาพรวมในเครือที่มีโรงพยาบาล 15 แห่งและอื่นๆ พบว่าปี 2564 นี้ BCH มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 120% มูลค่า 14,691.2 ล้านบาท มากกว่าปี 2563 ที่ลดลง 1.4% มูลค่า 6,674.7 ล้านบาท และมีกำไรที่ยังไม่หักต้นทุนหรือ EBITDA ในปี 2564 เพิ่มขึ้น 233% มูลค่า 6,648.6 ล้านบาท มากกว่าปี 2563 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 8.7% มูลค่า 1,994.4 ล้านบาท เมื่อคำนวณแล้วได้สุทธิในปี 2562 จำนวน 894.1 ล้านบาท ลดลง 13.2% และปี 2563 จำนวน 951.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% ต่อมาปี 2564 นี้กำไรสุทธิ 4,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 359% ที่น่าสนใจคือมีผู้ป่วยจากต่างประเทศนิยมมาใช้บริการเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะคูเวต กาตาร์ จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย ฯลฯ และแค่โรงพยาบาลสร้างใหม่ 3 แห่งคือที่ อ.อรัญประเทศ จ.อุบลราชธานี มีกำไร 108 ล้านบาท จ.ปราจีนบุรี มีกำไร 100 ล้านบาท และที่นครหลวงเวียงจันทร์ดังกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BCH กล่าวด้วยว่าผลจากวิกฤติโควิด-19 ดังกล่าวทำให้ทางเครือ BCH ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลประชาชนและผู้ป่วยในทุกมิติทั้งการบริหารด้านวัคซีน การตรวจหาเชื้อและการรักษาผู้ป่วย ดังนั้นทาง BCH จึงได้เพิ่มการให้บริการโดยเปิด 5 ศูนย์รองรับเพื่อให้การรักษาครอบคลุมโดยไม่ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจภายนอกเพื่อลดการติดต่อจนทำให้เสี่ยงต่อการระบาดต่อไป