การศึกษาหาความรู้ไม่ว่าจะในหรือนอกระบบ ย่อมมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกๆ เรื่องและยังช่วยยกฐานะการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ทุกๆ คนให้ดีขึ้นและสามารถปรับตัวให้อยู่รอดในสังคมได้อย่างดีมีคุณภาพ
การเรียนรู้ของมนุษย์เรานั้นมีหลากหลายรูปแบบเพราะทุกอย่างอยู่ที่ความชอบ ความสนใจ มีใจรักในสิ่งนั้นของแต่ละคนเป็นสำคัญ
ดังที่ผู้เขียนได้เคยนำหลักคิดของคนญี่ปุ่นที่เรียกว่า “อิคิไก” ซึ่งผ่านการวิเคราะห์จาก 4 ด้าน อันเป็นคาถาแห่งความสำเร็จในการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการงานแขนงใดซึ่งประกอบด้วย 1. ทำในสิ่งที่เรารัก 2. ทำสิ่งที่เราทำได้ดี 3. ทำในสิ่งที่ทำให้เกิดรายได้ และ 4. ทำสิ่งที่สังคมต้องการ
ที่เชียงรายมีสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากมายหลายแหล่งทั้งรัฐและเอกชน อีกทั้งวิทยาเขตของมหวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก็มีให้เลือกเรียน หรือแม้แต่การเรียนผ่านออนไลน์อยู่ที่บ้านหรือที่ไหนๆในโลกปัจจุบันก็มีให้เลือกมากมายที่เราสามารถเข้าถึงได้
ในบรรดาสถาบันอุดมศึกษาทั้งหลายนั้น สิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนตัดสินใจเข้าเรียนนั้นมีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรที่เหมาะสมเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน คุณภาพบัณฑิตเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นที่ยอมรับและพอใจของนายจ้าง ความอดทน ขยัน รับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ สุจริต ความมีน้ำใจ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ให้แก่บัณฑิตทั้งสิ้น
อีกอย่างที่สร้างความเชื่อมั่น เชื่อถือ ไว้วางใจ ของผู้ที่จะเป็นลูกศิษย์และนายจ้างก็คือ “การมีมาตรฐาน” และการยอมรับจากจากคนภายนอกทั้งในประเทศ ต่างประเทศก็มีความสำคัญไม่น้อย มหาวิทยาลัยในเชียงราย อย่างน้อย 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มร.ชร.) ในช่วงเดือนที่ผ่านมาต่างก็ได้รับการประกาศในระดับโลกและเอเชียว่าเป็น มหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานในระดับหนึ่งตามที่เป็นข่าวไปแล้ว
อย่างเมื่อเดือน ก.ค. 2020 (2563) ที่ผ่านมา ผลการจัดอันดับเว็บไซต์ ของ 4 International Calleges & Universities (4icu.org) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระอยู่ที่ไพร์มอนท์ นิวเซาท์เวลล์ ออสเตรเลีย ได้จัดอันดับความนิยมเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศ และทั่วโลก ตั้งแต่เดือน ก.ค 2005 (2548) โดยดำเนินการรายงานผลปีละ 2 ครั้ง คือ เดือน ม.ค. และ ก.ค. เหมือนกับ Webometrics ซึ่งมีจุดหมายเพื่อจัดอันดับความนิยมของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยนานาชาติบนพื้นฐานของความนิยมในการเข้าติดตามชม “เว็บไซต์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเว็บไซต์ที่ช่วยให้นักศึกษานานาชาติได้เข้าใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยนานาชาติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การที่เว็บไซต์ที่มีข้อมูลถูกต้องครบถ้วนและมีการอัพเดตข้อมูลข่าวสารที่สม่ำเสมอจะถูกนำมาใช้ในการพิจารณาจัดอันดับอีกด้วย
สำหรับการจัดอันดับมหาลัยกลุ่มราชภัฏในประเทศไทย 10 อันดับ ผลปรากฏว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มร.ชร.) ติดอันดับอยู่ในอันดับที่ 7 จากมหาวิทยาลัยกลุ่มราชภัฏทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี สำหรับชาวราชภัฏเชียงรายทั้งหลาย….นอกจากนี้ยังพบว่าลูกศิษย์ และอาจารย์ที่นั่น มักจะได้รางวัลชนะเลิศทั้งระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ระดับเอเชีย และนานาชาติ อยู่เป็นประจำในทุกๆ ภาคเรียนจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับที่ มร.ชร.นี้
เมื่อราวกลางเดือนกันยายน’63 ที่ผ่านมา “ชมรมทูบีนัมเบอร์วัน” ชมรมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดฯ(แห่งแรกในประเทศไทย) ของมหาวิทยาลัยฯที่เป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ที่ดำเนินการมาถึง 18 ปีแล้ว ก็ได้รับรางวัลระดับชาติมาเป็นลำดับจนมาถึงระดับสูงสุด “ในการรักษามาตรฐานพร้อมจะเป็นต้นแบบ ‘ระดับยอดเพชร’ ระดับอาชีวะและอุดมศึกษา” ของประเทศ เป็นปีที่ 4 แล้ว (จากเกณฑ์ที่คณะกรรมการตั้งไว้ 5 ระดับ ซึ่งต้องครองตำแหน่งระดับต่างๆ คราวละ 1 ปี แล้วจะประเมินผลงานในแต่ละปีว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่หากไม่ผ่านก็จะตกไปเลยจึงพบว่าหลายๆสถาบันที่ไม่ผ่านจะออกจากโครงการทูบีฯนี้ก็มีไม่น้อย) ส่วนจังหวัดเชียงราย ได้ครองตำแหน่งต้นแบบระดับทอง ด้านชุมชนศรีดอนชัย อ.เชียงของ ก็ได้ครองฯระดับยอดเพชร ปีที่ 4 คาดว่าปีหน้า ปีที่ 5 คงจะได้ครองแชมป์ มาตรฐานต้นแบบ “ระดับยอดเพชร” ของประเทศ ตัวจริงเสียที !
ต้องขอชื่นชม ผศ.ดร. วรินทรีย์ เยาว์ธานี รองอธิการบดี มร.ชร. ฐานะเลขานุการชมรมฯฝ่ายบริหาร พร้อมทีมงาน อาจารย์และนักศึกษาอาสาฯชมรมฯที่มุ่งมั่น ตั้งใจอย่างเต็มที่..เพราะใครก็ตามที่ทำงานกับชมรมฯนี้มีอนาคต…ที่ดีๆ กันทุกๆ คนซึ่งเห็นเป็นประจักษ์มาแล้วตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2546 ที่เริ่มต้น
…ครับ …เชียงรายนิวส์ฉบับเดือนที่ผ่านผมเคยเสนอข้อมูลไปแล้วว่า ปัจจุบันมาเทคโนโลยีต่างๆ ได้มีบทบาทอย่างสูงและได้เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบ แนวคิด ความเชื่อของเราไปอย่างสิ้นเชิงในหลายๆ เรื่องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน พลังแห่งความรู้ และข่าวสารจากเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างทุกวันนี้มันทั่วถึงกันหมดแค่ลัดนิ้วมือในบัดดล…!
ผู้คนในแต่ละยุคเราสามารถแบ่งได้ 4 กลุ่ม หรือ 4 เจนเนอเรชัน แต่ละกลุ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งความเชื่อและความคิดในแต่ละยุคไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ยุคเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) (ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ส่งเสริมให้มีประชากรเพิ่มขึ้นผู้เกิดระหว่าง 2485-2507)มีอายุราว 55-73 ปี ยุคเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ X (2508-2522) มีอายุราว 44-54 ปี ยุคเริ่มมีทีวีขาวดำ ทีวีสี วีดิโอ เริ่มมีคอมพ์ฯ วิดิโอเกม) เจนฯ y (2523-2540) มีอายุราว 23-38 ปี อินเทอร์เน็ต-ไอที มือถือฯ เจริญก้าวหน้าฯ) และเจนฯ z (2540-2563) มีอายุราว 12- 24 ปี ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล โซเชียลมีเดีย เรียนรู้กว้าง เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่มหาศาล พร้อมมีแพลทฟอร์มไอทีการสื่อสารหลากหลาย เช่น Fb line Ig Twitter # ฯลฯ ที่รวดเร็วและแรงในยุค4-5 G) อย่างปัจจุบัน… หากแบ่งเป็นแต่ละเจนฯจะพบดังนี้ ต่างก็มีความเชื่อ มีวิธีคิดไม่เหมือนคนรุ่นเจนฯX และคนยุคเบบี้บูมบางกลุ่มแน่ๆ …แม้แต่ครู อาจารย์ในสถาบันต่างๆ ในวันนี้ก็ต้องคิดใหม่ให้ไกลกว่าเด็ก
หากเป็น “นักการตลาด” เขาก็จะมองว่า กลุ่มใดมีมากที่สุดและต้องการสินค้าและบริการชนิดใด เขาจึงพบว่า กลุ่มตลาดวัยรุ่น เป็นกลุ่มตลาดใหญ่ที่สุด จากการสำรวจพบว่า กลุ่มเจนฯ y เป็นกลุ่มใหญ่สุด 29 % ตามด้วยเจนฯ z = 28 % เจนฯ X = 22 % ส่วนเจนฯ เบบี้บูมเมอร์ = 18 % เท่านั้น
ส่วนเจนฯเบบี้บูมเมอร์นี้ความคิด ความอ่าน ส่วนใหญ่ จะเป็นเชิงอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม ไม่กล้าและกลัวความเปลี่ยนแปลง เชื่อแล้วเชื่อเลยเพราะถูกปลูกฝังในเรื่ออำนาจนิยมตั้งแต่สถาบันในครอบครัว โรงเรียน สถาบัน ฯจนถึงระดับชาตินิยม เมื่อเปรียบเทียบกับ 3 เจนฯ ดังที่กล่าวแล้วจะแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะคนในเจนฯ yและ z ..ดังนั้น…จะต้องเข้าใจคนรุ่นนี้ให้ดีๆ กำลังเป็นทางเลือกใหม่ทั้งด้านการเรียน การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และ “การเมือง” การปกครองที่ผ่านมาเขาก็เป็นผลผลิตส่วนหนึ่งของสังคมไทย…..
เรามักจะพบว่าเขาทำอะไร…จนผู้ใหญ่ต้องตะลึง..!!!
