คอลัมน์ » มุทิตาจิต ผู้เกษียณอายุ

มุทิตาจิต ผู้เกษียณอายุ

2 สิงหาคม 2024
146   0

คำว่า “มุทิตาจิต” นั้นความหมายก็คือมีความยินดีที่ผู้อื่นมีความสุข อยู่ในพรหมวิหาร๔ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เรามักนำมาใช้กับผู้เกษียณอายุเช่นจัดงานมุทิตาจิตให้กับผู้เกษียณอายุ แสดงว่าการเกษียณอายุนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี เนื่องจากท่านได้ทำงานให้กับราชการหรือองค์กรมานานจนถึงวัยที่กำหนดไว้ว่าควรจะสิ้นสุดการทำงานได้แล้ว

อาจเนื่องมาจากร่างกายที่มีความเสื่อมสภาพตามสังขารที่ต้องร่วงโรยไปตามวัย คนที่มีอายุมากเลยวัยกลางคนจะรู้ได้เลยเป็นต้นว่าสายตาที่เคยอ่านหนังสือได้ตามปกติจะเริ่มไม่ชัดเจนต้องยื่นมือจับหนังสือให้สุดแขนจึงจะเห็นชัดและจะยังคงเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆจนต้องใส่แว่นตาสำหรับอ่านหนังสือหรือแว่นสายตายาว(ที่หลายๆคนนิยมเรียกให้ช้ำใจว่าแว่นคนแก่) การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าลงบางครั้งมีเสียงลั่นเอี๊ยดอ้าดตามข้อเข่า หรือมีอาการปวดเมื่อยได้ง่าย อีกทั้งจิตใจก็คงไม่เหมือนตอนหนุ่มๆหงุดหงิดง่ายอาจพาลทำให้การตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆผิดพลาด จึงถึงเวลาที่ควรหยุดการทำงานประจำลงเพื่อให้ได้พักผ่อนร่างกายและจิตใจให้สมกับวัยที่มีความเสื่อมของสังขาร แม้แต่ทางวงการศาสนาเจ้าคณะจังหวัดก็เกษียณอายุที่80ปีได้รับเกียรติให้ขึ้นเป็นที่ปรึกษาแทน เคยมีอดีตเจ้าคณะจังหวัดบอกกับผมว่าเขาคงกลัวว่าเวลานำสวดมนต์ในพิธีสำคัญสวดวกไปวนมาไม่ยอมจบสักที

ในช่วงเวลานี้หลายคนอาจรู้สึกว่าทำใจไม่ได้โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งบริหารเนื่องจากยังยึดติดกับตำแหน่ง อำนาจ และความสะดวกสบายต่างๆที่มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังเอาใจสารพัดรู้สึกกลัวว่า เมื่อเกษียณแล้วสิ่งเหล่านี้จะหายไป ทำให้เกิดความเครียดจิตใจไม่สบายเป็นเหตุให้ล้มป่วยได้

หลายคนมีความรู้สึกห่วงงาน ห่วงหน่วยงาน ห่วงลูกน้อง กลัวว่าไม่มีเราแล้วจะทำงานกันอย่างไร ผมขอแนะนำให้ทุกท่านควรทำใจให้สบายและดูตัวอย่างจากรุ่นพี่ๆของเราที่เกษียณไปแล้ว เขาก็คงเคยมีความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากเรา พอเวลาผ่านพ้นไป หน่วยงาน ลูกน้องทุกคนก็ยังทำงานได้ดี ตัวพี่ๆก็ดูมีความสุขดีอาจจะดีกว่าขณะทำงานอยู่ด้วยซ้ำไป บางคนเกษียณแล้วดูหน้าตาผ่องใสเยาว์วัยกว่าเดิมเสียอีก

ผู้เกษียณหลายคนคงเตรียมตัวไว้แล้วว่าจะทำอะไร มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่าหลังเกษียณให้แพ็คกระเป๋าแล้วออกไปจากบ้านสักพักเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้ายังอยากทำงานก็ ควรเป็นงานใหม่ๆที่ยังไม่เคยทำ เคยคิดอยากทำแต่ไม่มีเวลาหรือโอกาส ทั้งนี้ก็เพื่อความท้าทาย และการทำตัวให้มีคุณค่า ไม่ได้ต้องการเพียงเพื่อหาเงินอย่างเดียว  อย่าเอาแต่นั่งๆนอนๆอยู่ในบ้านจะทำให้ชีวิตเฉา ซึมเศร้าได้

ควรทำตัวให้กระตือรือร้น เพื่อพบเห็นสิ่งใหม่ๆ และควรคบเด็กหมายถึงเพื่อนต่างวัยที่มีอายุน้อยกว่าจะได้มีความคิดความอ่านที่ทันสมัยแตกต่างกันออกไปจากคนในวัยเดียวกันจะทำให้เข้าใจวิถีชีวิตและวิธีคิดของคนรุ่นใหม่เป็นการก้าวทันโลกเมื่อคุยกับใครจะได้เข้าใจ

อย่างไรก็ตามถ้าคิดที่จะทำการลงทุนโดยเฉพาะในกิจการที่ไม่เคยทำหรือคุ้นเคยมาก่อน เพียงแต่เห็นคนอื่นๆทำแล้วประสบผลสำเร็จหรือมีคนอื่นชวนลงทุนร่วมกัน ก็ไม่ควรที่จะลงทุนด้วยเงินบำเหน็จหรือเงินที่ได้จากการเก็บออมมาทั้งชีวิตจนหมด ควรที่จะแบ่งลงทุนเพียงบางส่วน ไม่ควรโลภมากอยากได้กำไรเยอะๆ ในวัยนี้ไม่ใช่วัยที่จะแสวงหาผลกำไรหรือหาเงินก้อนใหญ่ ควรเป็นวัยที่หาความสุขมากกว่า เงินหรือรายได้ควรเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น จะได้ไม่เกิดความเครียดถ้าต้องขาดทุนหรือสูญเงินบางส่วนไป

เช่นเดียวกันไม่ควรคิดที่จะทำการใหญ่ ต้องใช้เงินลงทุนมากหรือใช้เวลานานๆ จริงอยู่หลังเกษียณใหม่ๆยังพอมีบารมีหรืออำนาจอยู่บ้างแต่ถ้านานๆไปสิ่งต่างๆที่เคยมีก็จะจางหายไป จึงควรทำพอประมาณ อายุในวัยนี้การเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้ทุกเวลา บางคนจึงไม่ยอมที่จะนัดหมายหรือวางแผนล่วงหน้านานๆ เนื่องจากอนาคตนั้นไม่แน่นอน จึงไม่ควรประมาทควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับสิ่งต่างที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายได้ทุกเวลา ที่สำคัญต้องรู้จักร่างกายตนเองว่าตอนนี้เป็นอย่างไร จะไปทำบางสิ่งบางอย่างเหมือนสมัยเมื่อยังหนุ่มสาวไม่ได้ จึงมักได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆที่มีผู้สูงอายุพลัดตกจากบันไดเนื่องจากปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟทำให้ได้รับบาดเจ็บโดยไม่จำเป็นอาจทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้

ผมคิดว่าควรเป็นเวลาแห่งความสุขที่จะนำเอาหนังสือดีๆหรือภาพยนต์ดีๆที่เคยสะสมไว้ในอดีตแต่ไม่มีเวลาดู มาอ่านหรือดูอย่างมีความสุข ภายใต้บรรยากาศดีๆชีวิตจะมีคุณค่าขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้เวลากับคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมานานหลายสิบปี

อย่างไรก็ตามคงต้องมีข้อตกลงกันไว้ก่อนว่าจะต้องฟังซึ่งกันและกัน ไม่ชวนทะเลาะหรืองอนกัน เนื่องจากหู ตาก็ไม่ค่อยดีบางครั้งเรียกกันก็ไม่ได้ยินจึงต้องให้อภัยต่อกันไว้ก่อน เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับเราที่จะได้พูดคุยกัน ทำอะไรด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่งเหมือนสมัยที่ยังเริ่มรักกันใหม่ๆเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องงานเรื่องเวลา ลูกๆก็โตหมดแล้วจึงเป็นเวลาของคนสองคนจริงๆตื่นเช้าขึ้นมาควรทำสิ่งต่างๆด้วยกันออกจากบ้านไปท่องเที่ยวผจญภัยด้วยกัน เป็นช่วงเวลาทองของชีวิตคู่จริงๆ

สำหรับผู้ที่ไม่มีคู่ชีวิตอยู่ด้วยก็คงต้องอาศัยเพื่อนที่เกษียณมาด้วยกันหรือเพื่อนเก่าที่เรียนร่วมกันมาแต่ไม่มีโอกาสพบกันในขณะที่ยังทำงานอยู่แล้ว หาเวลาไปเที่ยวด้วยกันและผมขอแนะนำให้หัดเล่นอินเตอร์เน็ต Facebook, Line เพื่อจะได้ส่งและรับข้อมูลต่างๆ เป็นการฝึกใช้งานสมองพร้อมกับได้เพื่อนใหม่ๆที่ต่างวัยต่างความคิด แต่ก็ต้องไม่หมกมุ่นเกินไปจนเสียสุขภาพ

ผมจะพูดทุกครั้งเมื่อมีโอกาสว่าบ้านนั้นไม่จำเป็นต้องใหญ่โต โอ่อ่า งดงามหรือมีราคาแพง เพียงแต่ขอให้บ้านนั้นมีชีวิตชีวาจากคนที่อยู่ในบ้านช่วยกันทำให้เกิดความสุข ความอบอุ่น ซึ่งไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน บางบ้านแม้จะมีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างมีเครื่องเสียงราคาแพง ทีวีจอยักษ์หลายมิติ แต่ถ้าภายในบ้านไม่มีความสุขแล้วสมาชิกครอบครัวก็ไม่อยากอยู่ในบ้าน คนในครอบครัวจึงจำเป็นต้องสร้างรอยยิ้มเสียงหัวเราะให้กันโดยหันหน้าเข้าหากัน ให้เกียรติและรับฟังความเห็นซึ่งกันและกันโดยไม่พยายามที่จะยัดเยียดความคิดให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะคนวัยเกษียณอย่างเรามักอดไม่ได้ที่จะต้องอบรมสั่งสอนลูกหลานโดยยึดเอาตัวเราเป็นหลักแต่เราลืมไปแล้วว่าในวัยเดียวกันกับลูกหลานนั้นเราก็เป็นเหมือนกันไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่เพราะพูดกันคนละวัย สิ่งแวดล้อมการเลี้ยงดูในสังคมที่แตกต่างกัน จึงควรรับฟังพวกเขาให้มากๆพูดให้น้อยๆจะได้ไม่เสียใจหรือน้อยใจที่พวกเขาไม่ฟังเรา

มีผู้อาวุโสหลายคนที่ผมนับถือไม่ยอมไปพูดให้เด็กๆรุ่นหลังฟังเพราะรู้ว่าเขาเหล่านี้ไม่ได้รู้จักโลกของเราในช่วงเวลานั้น การที่จะสอนโดยยกเอาเรื่องเก่าๆที่พวกเขาไม่ได้ประทับใจเหมือนพวกเรามาพูดอาจทำให้ไม่ได้รับความสนใจและจะทำให้เรารู้สึกผิดหวังได้ เราจึงควรทำใจไว้บ้าง ผมคิดว่าเราอาจเป็นที่ปรึกษาให้คนรุ่นหลังได้แต่ก็ควรต้องอาศัยจังหวะที่จะแนะนำและบางครั้งต้องรอให้เขาได้ทำตามความคิดของตนเองเสียก่อนเมื่อไม่สำเร็จเราก็ไม่ควรซ้ำเติม แต่ควรชี้แนะหาทางออกเพื่อแก้ไขความผิดพลาดนั้นๆโดยไม่ยกเอาความดีเข้าตัวเอง จะทำให้เขาเกิดความนับถืออย่างจริงใจ

เราควรดูแลสุขภาพตนเองและคู่ชีวิตอย่างสม่ำเสมอไม่ประมาท ตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำ ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัยอย่างสม่ำเสมอ ควรทำจิตใจให้ผ่องใส นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และควรเก็บเงินก้อนหนึ่งไว้ใช้ยามเจ็บป่วยหรือเมื่อเสียชีวิต ที่สำคัญทุกคนที่สูงวัยมักมีความรู้สึกว่าไม่ต้องการให้เป็นภาระลูกหลาน ผมขอให้คิดว่าเราให้กำเนิดและเลี้ยงดูเขามาเมื่อถึงเวลาก็เป็นหน้าที่ที่เขาจะดูแลตอบแทนเรา เป็นการสร้างบุญกุศลอีกครั้งที่ให้ลูกหลานได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูปรนนิบัติพ่อแม่ยามเจ็บป่วยให้ได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน

ผมเชื่อว่าทุกท่านยังมีความรู้ความสามารถและพร้อมที่จะถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะเป็นกำลังสำคัญของชุมชนในเรื่องต่างๆโดยเฉพาะที่มีประสบการณ์จากการทำงานมานาน จึงควรช่วยเสริมสร้าง “ชุมชนเข้มแข็ง”

ปัญหาเรื้อรังต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด การตั้งครรภ์ไม่พร้อมของวัยรุ่น ความรุนแรงในครอบครัวและสังคม จะหมดไปได้ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน ผมเชื่อว่าทุกท่านอย่างน้อยสามารถปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีกับชุมชนได้แน่นอน

ผมขอเล่าเรื่องดีๆที่ได้รับมาจากการบรรยายธรรมของพระอาจารย์ไพศาลวิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุขโต จ.ชัยภูมิ ที่ได้แสดงไว้ เมื่อวันที่ 31 พค. 2554 ในงาน “หนึ่งคนหนึ่งศตวรรษ เสมพริ้งพวงแก้ว” ณ หอประชุมใหญ่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องในโอกาสที่อาจารย์นพ.เสม พริ้งพวงแก้วมีอายุครบ 100 ปี ในหัวข้อ “ชีวิต3มิติ”

ท่านสอนว่าชีวิตคนเรานั้นมี 3 มิติ มิติที่1เป็นมิติแห่งความสั้น-ยาว ที่พวกเรามักยึดติดอยู่ ต่างก็อยากมีชีวิตยืนยาว แต่เรากำหนดไม่ได้ เขากำหนดมาแล้ว จะเห็นได้ว่าบางคนยังไม่ทันเกิดก็เสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ บางคนเกิดมา2-3ปีก็ตาย บางคนตายในวัยหนุ่มสาว จึงไม่ให้ยึดติด ควรไปให้ถึงมิติที่2 คือมิติแห่งความกว้าง ขอให้เรามีจิตใจที่กว้างขวาง เอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี อยากช่วยเหลือผู้อื่น และถ้าเป็นไปได้ ต้องไปให้ถึงมิติที่3 มิติแห่งความลึก คือเกิดความสุขในส่วนลึกของหัวใจจากการได้ทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น ผมคิดว่าเป็นสิ่งประเสริฐสุดถ้าเราไปถึงมิติที่3ก็ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นคน

ผมขอให้ทุกคนคำนึงถึงเรื่องชีวิต3มิตินี้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตต่อไป มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสิ่งดีงามในช่วงเวลาแห่งชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อให้เกิดความสุขในส่วนลึกของหัวใจ

ในเวลานี้ควรศึกษาถึงแก่นแท้ของศาสนาที่ทุกคนนับถือ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะจากไปเมื่อถึงเวลา ระลึกไว้เสมอว่า “สังขารทั้งหลายย่อมมีวันเสื่อมสลาย แต่คุณความดีที่เราทำ จะคงอยู่กับเราตลอดไปข้ามภพข้ามชาติ”

ผมต้องขอบคุณทุกท่านที่ได้อุทิศตนทำงานจนเกษียณ และขอเป็นตัวแทนของประชาชนที่พวกท่านได้ทำงานให้พวกเรามาโดยตลอดขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนับถือ บารมีของในหลวงราชินีในรัชกาลที่9และ ที่10 ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองได้โปรดดลบันดาลให้ทุกท่านมีสุขภาพ พลานามัยดี ประสบความสุขในวัยเกษียณและสมปรารถนาในสิ่งที่ถูกที่ควร

“ขอบคุณที่เป็นคนดี”

นพ.พิษณุ ขันติพงษ์



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า