คอลัมน์ » โควิด-19 / ไข้เลือดออก / ไข้หวัดใหญ่ / PM 2.5

โควิด-19 / ไข้เลือดออก / ไข้หวัดใหญ่ / PM 2.5

12 กุมภาพันธ์ 2024
238   0

สุขภาพคือเรื่องใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง จะยากดีมีจนหรือรวยล้นฟ้าสุดท้ายต่างภาวนาว่าขอให้สุขภาพดีไว้ ก่อน เพราะที่สุดแล้วแก้วแหวนเงินทองที่กองอยู่รอบตัวก็ไม่อาจเอามาแลกได้ !!

ย่างเข้าปีใหม่มาได้เดือนกว่าแล้ว แม้เราจะได้อะไรเป็นของขวัญ เป็นรางวัลชีวิตมาแล้วมากมาย

แต่ภัยรอบกายยังมีเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพให้น่ากังวลอยู่ไม่น้อย !!

เรื่องนี้เป็นการแถลงของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข(สธ)เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง โดย นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค ว่าด้วยเรื่อง “อนาคตประเทศไทย โรคภัยและ สุขภาพประชาชน ปี 2567” ว่าเรายังมีโรคที่ต้องระบาดอย่างแน่นอนในปีนี้คือ โควิด-19, ไข้เลือดออก, และ ไข้หวัดใหญ่ โดยโควิด-19 คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 649.520 คน ที่ต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 3 หมื่นคน และอาจมีผู้เสียชีวิตราว 825 คนเป็นอย่างน้อย

แน่นอน !! ประชาชนที่ต้องได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันคือ กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และ กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่ม 608

ซึ่งจากคำแนะนำขององค์กรอนามัยโลก(WHO) คนหนึ่งต้องฉีดวัคซีนปีละ 1 โดส ซึ่งต้องฉีดเป็นประจำ ทุกปีเหมือนกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเรื่องนี้รัฐบาลไทยมีนโยบายและรณรงค์ให้คนไทยได้รับวัคซีน ป้องกันโรคเหล่านี้อย่างถ้วนทั่วผ่านโรงพยาบาลทั่วประเทศอยู่แล้ว…เว้นเสียแต่บางคนจะมองไม่เห็นความ สำคัญ ??

ตามที่กรมควบคุมโรคคาดการณ์ โรคไข้หวัดใหญ่คาดว่าจะมีผู้ป่วย 346,110 ราย โดยคาดว่าจะ ระบาดในเดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป

ส่วนโรคไข้เลือดออก คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 276,945 คนและอาจมีผู้เสียชีวิตถึง 280 คน โดย คาดว่าจะระบาดในเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป…ที่สำคัญคือขณะนี้ผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกในประเทศไทย จะ ไม่ใช่เฉพาะเด็กอีกต่อไป แต่พบว่าเป็นผู้ใหญ่เสียชีวิตมากในระยะหลัง ทั้งนี้ไข้เลือดออกหากติดเชื้อครั้งแรกจะ ไม่รุนแรง แต่มีโอกาสติดซ้ำได้ เพราะไข้เลือดออกมีถึง 4 สายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งหมายความว่า…ช่วงชีวิตจะมี โอกาสป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง

จึงต้องเน้นย้ำการป้องกัน และช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย !!

นอกจากความห่วงใยใน 3 โรคดังกล่าวแล้ว กรมควบคุมโรคยังเตือนประชาชนให้เÅาระวังโรคที่มี โอกาสการระบาด และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ประกอบด้วย 12 โรค ดังนี้ 1.โรคมือเท้าเปื่อย, 2.โรคหัด, 3.โรคฝีดาษวานร, 4.โรคเมลิออยโดสิส (ไข้ดิน), 5.โรคฉี่หนู, 6.โรคไข้หูดับ, 7.โรคไวรัสซิกา, 8.โรคชิคุณกุน ยา, 9.โรคซิฟิลิส, 10.โรคหนองใน, 11.โรคเอดส์ และ 12.วัณโรค

ด้วยข้อกังวลดังกล่าวข้างต้น โรคต่างๆที่กล่าวมาดูเหมือนคนในท้องถิ่นไม่ได้กังวลตามกันมากนัก เพราะ สิ่งที่เขาวิตกคือ “ฤดูฝุ่นควันพิษ” ที่มันกำลังย่างกรายเข้ามานั่นเอง !!

ทำไม ? การแก้ปัญหา PM 2.5 จึงยังไม่ประสบผลสำเร็จ ?

สถานะการณ์ฝุ่นควันพิษสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และผลเสียมีแนวโน้มทวีความ รุนแรงขึ้นทุกปี จากเดือนมกราคม-มีนาคม อันเป็นช่วงปลายฤดูหนาวบรรจบกับต้นฤดูร้อน เป็นช่วงที่ความกด อากาศสูงแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือการไหลเวียนและถ่ายเทอากาศไม่ดี ฝุ่นควันจึงสะสมในอากาศ และสภาพ อากาศที่แห้งนี้ยังเอื้อต่อการเกิดไฟป่าได้ง่ายอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขตภาคเหนือยังได้รับผลกระทบจากปัจจัย ภูมิประเทศ ที่เป็นที่ราบล้อมรอบด้วยภูเขา ลักษณะเหมือนแอ่งกระทะ

การสะสมหมอกควันในอากาศจึงรุนแรงกว่าพื้นที่อื่นๆ !!

ในสังคมเมืองอย่างกรุงเทพฯก็ผจญกันไปกับฝุ่นควันพิษที่มาจาก อุตสาหกรรม การขนส่ง การผลิตไฟฟ้า ไอเสียรถยนต์ผนวกกันการจราจรที่ติดขัด ฯลฯ ส่วนต่างจังหวัดต้นตอที่ใหญ่สุดของPM 2.5 คือการเผาในพื้นที่ โล่ง พื้นที่เกษตร และไฟไหม้ป่า ซึ่งผลวิจัยระบุว่าการเผานี่แหละมันหนักกว่าทุกกรณี !!!

ต้นตอที่เกิดจากภายในประเทศยังไม่พอ ฝุ่นควันที่พัฒนามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็เผาไม่แพ้กัน จังหวัดใกล้ชายแดนจึงสุดจะหลีกเลี่ยงพ้น

ฉนั้น ลำดับความวิตกกังวลของคนในพื้นที่จึงจัดแทบไม่ถูกว่าจะให้ โควิด 19-ไข้เลือดออก-ไข้ หวัดใหญ่-กับฤดูฝุ่นควันพิษ…อันไหนมันจะน่ากลัวกว่ากัน ???

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า