คอลัมน์ » ก้าวไกล“เปลี่ยน”..เพื่อไทย“แปลง”!?

ก้าวไกล“เปลี่ยน”..เพื่อไทย“แปลง”!?

7 สิงหาคม 2023
56   0

            ผลการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ผ่านมามีการพัฒนาการเป็นอย่างไรคงทราบกันแล้วในขณะนี้  ซึ่งเป็นการจัดตั้งที่ยาวนานที่สุด หลายคนบอกว่าเป็นธรรมชาติของการเมือง… ที่จริงไม่ใช่… มันเพิ่งจะมาเกิดขึ้นในปี 2566 นี่เอง เพราะกฎ กติกา ของบ้านเมือง มัน พิลึก พิลั่น นั่นเอง

      … ข่าวการเดินทางกลับบ้านของอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” อายุ 74 ปี ในวันที่ 10 ส.ค.’66  นี้ ด้วยเครื่องบินส่วนตัวเพื่อกลับมาสู้คดีในประเทศทางสนามบินดอนเมืองกลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้งจากที่เลื่อนมาจากเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา  ซึ่งหลบหนีคดีทางการเมืองไปตั้งแต่ปี 2551..ย่อมเป็นที่สนใจของคนทั่วไปไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข่าว “การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่” ในขณะนี้ … จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือไม่…เพราะมีทั้งคนรักและคนชัง…ก็เป็นข่าวที่ชวนติดตามยิ่งในเดือนนี้เช่นกัน….

            ผู้เขียนเคยบอกแล้วว่า… “การเมืองเป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์และการต่อรองทางการเมือง…โดยมีการประนีประนอม(compromise)เป็นสำคัญ” หากปรองดองกันได้ทุกอย่างก็จบเอง…เ

           เมื่อช่วงปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา จากการที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งและรวมกันได้ 312  มีปัญหาเรื่องการเลือกนายกฯ เพื่อไปจัดตั้งรัฐบาล โดยมี ส.ว. มีส่วนร่วมโหวตด้วย ตามบทเฉพาะกาล รธน. ปี’60 ม.272 กำหนดไว้ พบว่าหลักการและวิธีคิดของ ส.ว. 250 คน จึงผิดเพี้ยนไปจากการ เดิมที่เคยเลือก พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2562 ในครั้งนั้น วันนี้จึงเห็นได้ว่าความกดดันจึงไปที่ ส.ว. ว่าทำงานเกินหน้าที่หรือไม่ ที่มีสิทธิในการที่จะกำหนดว่าจะเลือกใคร ห้ามนโยบายใดของพรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ต่างถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ทัวร์เต็มรัฐสภา

             หากถึงทางตันไม่สามารถเลือกนายกฯได้ ….ก็ต้อง อาศัยนักกฎหมาย ต้องออกมาชี้ทางให้เห็นทางออก แน่นอน คงไม่ต้องรอไปอีก 10 เดือน จนกว่า ส.ว.จะหมดอายุแล้วกระมัง… ถึงวันนั้นบ้านเมืองคง ถึงยุคตกต่ำในทุก ๆ ด้าน…การใช้จ่ายงบฯ ในการบริหารประเทศคงสดุดหยุดลง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ ฯลฯ  คงจบกัน ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย…

             มีนักวิชาการทางการเมืองหลายๆคนสรุปตรงกันว่า การเมืองการปกครองของไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนั้นจะเป็น รัฐซ้อนรัฐ หมายถึง นอกจากรัฐบาลที่มาจากประชาชนแล้ว ยังมีรัฐอีกรัฐที่ไม่ปรากฏซ้อนทับอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเรียกว่า “รัฐพันลึก” หรือฝรั่งเรียกว่า  ดีพ สเตต (Deep state) จะมีอิทธิพลต่าง ๆ ในการกำหนดทิศทางของประเทศบางครั้ง อาจมาจากรัฐพันลึกนี้ก็เป็นได้  เนียนไปกว่านั้นอำนาจลึกลับอยู่เบื้องหลังนี้อาจบงการกำหนดแบบ  ซอฟ์ จุนตา (soft junta) ผ่านกระบวนการทางกฎหมายด้วยนอมินี มาทำ ‘นิติสงคราม’ ดังที่เคยปรากฏทั้งในและต่างประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงมาให้เห็นกันแล้ว

           การจัดตั้งรัฐบาลแบบผสมของพรรคต่าง ๆ ดังที่ปรากฏนั้น ความไม่แน่นอน..มีได้เสมอ  หากพรรคใดพรรคหนึ่งไม่สมหวังจากข้อตกลงที่มีต่อกันก็อย่าเสียใจหากไม่ได้เป็นรัฐบาล  ในวิกฤติย่อมมีและให้โอกาสผู้ไม่ยอมแพ้เสมอ…สะสมกำลังไว้เพื่อสู้ใหม่ให้พร้อม “เพื่อการเปลี่ยนแปลง” ไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างที่มุ่งมั่นตั้งใจ  … เรื่องการเมืองนั้น เป็นเกม เป็นสนามแข่งที่ดุเดือด เพื่อแย่งชิงอำนาจ ทุกฝ่ายย่อมใช้เหลี่ยมคูสารพัดเพื่อเป้าแห่งชนะ  ผู้ชนะก็อย่าเพิ่งผยอง เพราะความไม่แน่นอนเกิดได้เสมอ.. อย่าคิดว่ากลุ่มตนจะชนะตลอดไป ต่อไปก็ต้องพ่ายแพ้ คือแพ้ต่อ “กาลเวลา..และ สังขาร”   ที่โรยร่วงตาม เวลา อีก 4 ปี คนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น คนเก่าก็โรยราไป  วัน เวลาย่อมเข้าข้าง คนรุ่นใหม่ คลื่นลูกใหม่เสมอ…

             การเลือกตั้งที่ผ่านมาประชาชนผู้เลือกพรรคการเมืองในฟากฝั่งประชาธิปไตย 8 พรรค กว่า 26 ล้านเสียง โดยมี พรรคก้าวไกล ได้คะแนนเสียงสูงสุด พรรคเพื่อไทย เป็นรอง ซึ่งประชาชนมุ่งหวังให้ทั้ง 2 พรรคนี้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ พร้อมเสนอชื่อตัวเลือกนายกฯพร้อม รวมทั้งการทำข้อตกลงร่วม (MOU)ทั้ง 8 พรรค  ดังที่ทราบกันแล้ว หลังจากพรรคก้าวไกลไม่สามารถเลือกผู้เป็นนายกฯได้ก็เปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทยบ้างตามลำดับ…ที่ผ่านมาการรับหน้าที่ในการหาเสียงสนับสนุน จาก ส.ว.และ ส.ส. กลายเป็น  “ทุกขลาภ” อย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ โดนทัวร์ลง จากด้อมส้ม และด้อมแดง พร้อมย้ำว่า หากพรรคใดไปร่วมมือกับพรรคที่เคยเป็นเครื่องมือเผด็จการมาก่อน จะต้องถูกประณามคำว่า “ตระบัดสัตย์” ซึ่งเคยมีมาแล้วในอดีต เมื่อ ปี 2535 ที่เรียกว่า ‘พฤษภาทมิฬ’ มีประชาชนล้มตาย สูญหายจากเหคุการณ์รุนแรงในครั้งนั้น อันเนื่องมาจากคำพูดของผู้นำบางคนที่เสียสัตย์

             ระวัง!… จะเป็นชนวนเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ด้วย.. เพราะกลุ่มสื่อที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม ทั้งนักการเมือง นักวิชการ คอลัมนิสต์ หลายคน หลายสื่อ กำลังเสี้ยม มวลชน ทั้ง 2 ฝ่าย ที่ความคิดแตกต่างกันออกมาคัดค้านอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็จะเข้าสู่วงจรที่เลวร้าย หรือ วงจรอุบาทว์ (Vicious circle) อีกรอบ  ดังนั้นพรรคแกนนำทั้ง 2 พรรค ต้องรักษาคำมั่นสัญญา จับมือกันให้มั่น ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปด้วยกัน เพื่อตั้งรับบาลร่วมกันให้สำเร็จให้ได้… ตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้มีมติฉันทานุมัติแล้วให้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล หากฝ่ายใดไม่รักษาสัญญา ระวังจะเจ๊งไม่เป็นท่าการเลือกตั้งครั้งหน้า 

             ในขณะเดียวกันก็มีทัวร์มาลงที่ หมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค และพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มๆ จนไม่มีที่จอด…ช่วงปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ในบรรยากาศที่สื่อถึง  เกรงว่าจะผลักพรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านบ้างล่ะ ..ยกเลิก MOU ทั้ง 8 พรรคบ้างล่ะ เกรงว่าพรรคเพื่อไทย จะไปจับมือกับฝ่ายรัฐบาลเดิม บ้างล่ะ..และผิดคำมั่นสัญญาจากที่เคยหาเสียงไว้ รวมทั้งมีคำพูดของหัวหน้าพรรคร่วมบางพรรค ที่เสนอให้พรรคก้าวไกล ที่เป็นเงื่อนไขของบรรดา ส.ว. ที่ไม่ยอมโหวตให้… ออกไปก่อน..ถอยออกไปก่อนสักระยะ…ค่อยกลับมาภายหลัง อะไรทำนองนนี้ จึงทำให้แฟนด้อมฝ่ายต่างๆเข้าใจผิด!

…..ความจริง ๆ หากพิเคราะห์ดี ๆ  จากข้อเสนอแนะที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อฯ ของหัวหน้าพรรคดังกล่าว ให้ครบถ้วนกระบวนความ หากไม่ด่วนสรุป…ก็เป็นข้อเสนอที่น้ารับฟังไม่น้อยและเป็นทางออกในทางแก้เกมการเมืองครั้งนี้ด้วย กล่าวคือ ..เขากล่าวว่า “ตนไม่ได้เสนอให้ดีดพรรคก้าวไกลออกไปจาก 8 พรรคร่วม เพียงแต่ต้องเล่นละครกันหน่อย เพราะการโหวตเพื่อขอคะแนนเสียงจาก ส.ว.และ ส.ส.ในที่ประชุมรัฐสภาครั้งนี้ “ เป็นการโหวตเลือกผู้ที่จะเป็น “นายกรัฐมนตรีเท่านั้น”  มิใช่เลือกเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่อย่างใด  เมื่อเลือกผู้เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯได้แล้ว ค่อยมารวมพรรค รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลกันอีกครั้ง โดยผู้ได้รับการโหวตฯนั่นแหละ…ซึ่งจะไม่มีเงื่อนไขใด ๆ จาก ส.ว.และ ส.ส.ดังกล่าวแล้ว  ในทำนองเดียวกัน ก็อย่าประมาทว่า… อีกฝ่ายเขาจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่ได้ คือเขาจะให้ ส.ว.และ ส.ส. ที่เป็นผ่ายเขาเลือก “ผู้ที่เหมาะสมเป็นนายกฯเขาก่อน” เมื่อเลือกได้แล้ว เขาจะไม่รีบตั้งรัฐบาลก็ได้ คอยให้กล้วย ซื้องูเห่า คอยบีบ ข่มขู่  ส.ส.ฝ่ายตรงข้าม ที่มีคดีติดตัว หรือยุบพรรคฯบางพรรคเพื่อหาส.ส.เข้าสังกัดมาร่วมรัฐบาลเขา จนเป็นเสียงข้างมากก็เป็นได้ซึ่งเคยมีบทเรียนมาแล้ว … “เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดเสมอ…” .. นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากมัวแต่ทะเลาะกัน เพราะประเทศต้องมีรัฐบาลไปบริหารประเทศโดยเร็ว…

 …….มาถึงวันนี้คงทราบแล้วว่า พัฒนาการการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นอย่างไร..?… การ “สลายขั้ว” ของ 8 พรรค จาก MOU 23 ข้อ ยังอยู่หรือ “ปลาสนาการ” ไปแล้ว….

จุดยึดเหนี่ยวร่วมกัน ที่ 8 พรรค จะตั้งรัฐบาลสำเร็จก็ คือ “ความรัก” นั่นเอง  การแสวงหาจุดร่วม  สงวนจุดต่างจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก…  กองเชียร์ก็อย่าทะเลาะกันแม้จะเชื่อต่างกันต้อง “เติมน้ำใจ”ให้กันและกัน  หากมีจิตสำนึก มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่จะมาร่วมแก้ปัญหาเปลี่ยนและแปลงประเทศร่วมกันแล้ว…โปรดอย่าหวาดหวั่นอุปสรรคใด ๆ ทุกอย่างก็จะโอเค.!!..

(หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเมื่อ 25 ก.ค.’66)