ผมเขียนบทความนี้ขึ้นเนื่องจากคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คิดถึงแต่ตัวเอง อยากรวยง่าย อยากรวยเร็วและอยากรวยมาก ต่างดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อให้มีทัดเทียมกับคนอื่นในทางวัตถุ ชอบที่จะทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น แม้แต่พ่อแม่พี่น้องของตัวเอง เอาความต้องการทางวัตถุของตัวเองเป็นใหญ่ จนลืมคิดถึงคุณธรรมความดีงาม
หลายคนเกิดมาโชคดีได้เป็นแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีโอกาสสร้างคุณค่าให้ชีวิต ในการดูแลรักษาคนไข้ จากการทำงานหาเลี้ยงชีพทุกวัน แต่บางคนละเลยการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีกับคนไข้ จึงอยากเตือนสติให้ทุกคนคิดถึงความดีงามทางจิตใจที่ได้ทำสิ่งที่มีคุณค่ากับคนไข้และคนทั่วไปซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป ข้ามภพข้ามชาติ เช่นเดียวกันกับอีกหลายๆ อาชีพที่มีหน้าที่บริการประชาชน ขณะที่ทำงานหาเลียงชีพอย่าลืมสร้างคุณค่าให้ชีวิต ด้วยการทำสิ่งที่ดีงามด้วยหัวใจให้ผู้มารับบริการด้วย
สมัยที่ผมเรียนแพทย์จนจบมาปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์เต็มตัวนั้น การแพทย์และสาธารณสุขเป็นเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม มีแค่หูฟังวางบนตำราแพทย์ การดูแลรักษาคนไข้นั้นไม่มีเรื่องของผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แม้แต่เรื่องรายได้หรือเงินเดือนพวกเราก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร ทำงานกันหนักจนบางครั้งไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน อยู่แต่ในห้องผ่าตัดหรือรพ. แม้แต่เวลาทานข้าวก็ไม่แน่นอน แพทย์ทุกคนจะใช้เวลาในการทานอาหารน้อยมากส่วนใหญ่ไม่เกิน 10 นาที ทุกคนตั้งใจทำงานเพื่อให้คนไข้หายจากการเจ็บป่วยเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งทุนนิยมวัตถุนิยม เหมือนมีธนบัตรปึกใหญ่วางทับหูฟังแพทย์ที่วางบนตำราอีกชั้นหนึ่ง ทำให้การดูแลรักษาคนไข้แตกต่างไปจากเดิมเพราะมีการคำนึงถึงเรื่องเงินและผลประโยชน์ตอบแทนมากขึ้น เป็นเหตุให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ล่าช้า ไม่เหมาะสมหรือได้รับการส่งตรวจมากเกินความจำเป็น มีมาตรฐานการรักษาที่ต่างกัน
ผมมักชี้ให้แพทย์รุ่นใหม่ดูว่าพวกเราทำงานเหมือนมีเทวดา นางฟ้าอยู่ข้างหนึ่ง คอยบอกให้เราทำสิ่งดีงาม ทำเพื่อคนไข้โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ ขณะเดียวกันก็จะมีซาตานหรือปีศาจคอยเสี้ยมสอนให้เราทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่เหมาะสม ทำโดยหวังผลประโยชน์แอบแฝง ทำให้ชีวิตของพวกเรามีความขัดแย้งในตัวเอง หลายคนที่ยังมีจิตสำนึกที่ดีจะรู้สึกผิดหรือไม่สบายใจเมื่อทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาเป็นโรคกระเพาะอาหารจากความเครียดได้บ่อย
ผมมักบอกกับทุกคนเสมอว่าเราโชคดีเพียงใดที่ได้ทำงานในรพ.ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล หรือจนท.อื่นๆต่างมีหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้จึงควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อคนไข้ เราจึงควรมีความสุขในการทำงานถึงจะถูก ผมมักอ้างคำสอนของสมเด็จพระราชบิดาที่ทรงสอนนิสิตแพทย์ว่า
“อาชีพแพทย์นั้นไม่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ยากจน
ถ้าอยากร่ำรวยต้องไปทำอาชีพอื่น
เพราะอาชีพแพทย์ต้องมีอุดมการณ์คือ
เมตตาและกรุณา”
ผมขอร้องให้รร.แพทย์ทุกแห่งนำไปติดประกาศให้ นร. นศ.ได้รู้ตั้งแต่แรก ก่อนตัดสินใจมาเรียนแพทย์ เมื่อเรียนจบแล้วจะได้ไม่ประกอบวิชาชีพเป็นแพทย์เชิงพาณิชย์ที่หวังกอบโกยเงินทองหรือผลประโยชน์จากคนไข้มากกว่าการเห็นอกเห็นใจและพยายามทำทุกวิถีทางให้คนไข้หายหรือทุเลาจากการเจ็บป่วยอย่างแท้จริง
เราลองคิดย้อนกลับไปเมื่อตอนเรียนจบใหม่ๆ ผมมั่นใจว่าทุกคนต่างสัญญากับตนเองว่าจะเป็นแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกรหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดี จะทำงานเพื่อคนไข้ จะทำให้ทุกคนภูมิใจ จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นน้อง จะไม่เอาเปรียบคนอื่น ฯลฯ ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่ตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะปากร้าย ดุด่า ต่อว่าคนไข้ ขูดรีดเงินทองคนไข้หรือทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่อวิชาชีพ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 5ปี 10ปี 20ปี บนเส้นทางเดินของวิชาชีพมีทางแยกมากมาย เราอาจถูกชักจูงให้เดินออกนอกเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ผมขอให้ทุกคนคิดเองว่าเรายังคงอยู่ในเส้นทางที่ตั้งใจไว้อยู่หรือไม่ หรือเดินออกไปนอกเส้นทางแล้ว อะไรทำให้เราเดินออกนอกเส้นทางที่ตั้งใจไว้ เมื่อคิดได้แล้วจะกลับมายังเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนจบใหม่ๆหรือไม่ ผมเพียงแต่มาสะกิดให้เห็นความจริงแต่ถ้าเราสามารถเปลี่ยนกลับมาได้ คนไข้ย่อมจะมีความสุขมาก เราและคนรอบข้างจะมีความสุขและภูมิใจมากเช่นกัน
ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับแพทย์และทีมรักษาพยาบาลเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีความไว้วางใจ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์รุนแรงเพียงใด ต่างเห็นอกเห็นใจและเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ปัจจุบันความสัมพันธ์ที่ดีงามนั้นเปลี่ยนแปลงไป อาจเกิดจากธุรกิจทางการแพทย์ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการแพทย์มากขึ้นในกรณีเกิดเหตุไม่พึงประสงค์จากการรักษาพยาบาลหรือเกิดความเสียหายต่อคนไข้ เมื่อขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างคนไข้ ญาติและทีมแพทย์ที่ให้การรักษา เป็นเหตุให้เกิดการร้องเรียนหรือฟ้องร้องได้ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดความเครียด หลายคนทำงานด้วยความหวาดระแวงไม่มีความสุข หลายคนเปลี่ยนอาชีพไปก็มี
ในกรณี “น้องหมิว” รพ.เลยที่ศาลตัดสินให้กระทรวงสาธารณสุขแพ้คดี มีคนโพสภาพผู้รักษาประตูฟุตบอลมาให้พร้อมกับบอกว่า “แพทย์ก็เหมือนผู้รักษาประตู แม้ว่าจะรับลูกบอลได้เป็นร้อยเป็นพันลูกคนไม่สนใจแต่ เมื่อรับพลาดลูกเดียวเป็นที่สนใจขึ้นมาทันที”
ผมบอกว่าผมไม่เชื่อ สิ่งที่ผมเชื่อคือ “แม้คนไข้จะจำชื่อแพทย์ พยาบาลที่ดูแลเขาไม่ได้แต่เขาจะจำความรู้สึกดีๆที่ได้รับในยามเจ็บป่วยได้” ผมยังเชื่ออีกว่า “ทุกครั้งที่เราทำสิ่งดีงามในรพ.จะมีคนได้รับผลประโยชน์เสมอ โดยเฉพาะคนไข้”
ฟลอเร้นซ์ ไนติงเกิล สตรีกับดวงประทีป กล่าวไว้เกือบสองร้อยปีมาแล้วว่า “สิ่งแรกที่จะต้องคำนึงถึงเสมอในรพ.คือต้องไม่ทำให้คนไข้เป็นอันตราย” หรือในปัจจุบันนี้เราจะได้ยินคำว่า “patient safety”
อย่างไรก็ตามอเลกซานเดอร์ โป๊บ กล่าวไว้ร่วมสี่ร้อยปีแล้วว่า “ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์” อย่าลืมว่าพวกเราทุกคนทำงานในธนาคารชีวิตที่คนไข้เอาชีวิตมาฝากเรา เมื่อเกิดความผิดพลาดย่อมหมายถึงอาจเกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้ เราจึงต้องมีระบบป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือมีโอกาสเกิดน้อยที่สุด
ผมขอขอบคุณสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(สรพ.) ที่ได้สร้างระบบคุณภาพให้รพ.ทุกแห่งเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนไข้และเจ้าหน้าที่ในด้านความปลอดภัยในการรักษาพยาบาล
เราทำ HA เพื่อคุณภาพรพ.มานานเกือบ 20 ปี แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความปลอดภัยได้ทั้งหมด เราไม่สามารถสร้างทุกคนให้มีคุณภาพได้ หลายคนอยู่ในรพ.มีคุณภาพแต่พอออกนอกรพ.เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผมเชื่อมั่นว่า HA สร้างระบบที่ดี แต่ถ้าคนไม่ดีก็ยังทำให้เกิดอันตรายต่อคนไข้ได้
ผมจึงเชื่อมั่นในการทำรพ.คุณธรรมเพื่อสร้างคนให้มีคุณธรรม
คนดีนั้นไม่ว่าจะอยู่ในรพ.หรือนอกรพ.ก็เป็นคนดี ผมขอให้ทุกคนในรพ.ต้องทำทั้งงานคุณภาพและคุณธรรมเพื่อป้องกันให้เกิดความผิดพลาดกับคนไข้น้อยที่สุด ดังคำที่ผมพูดอยู่เสมอว่า “รพ.คุณภาพสร้างระบบ รพ.คุณธรรมสร้างคน” เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับคนไข้ทุกคนที่เข้ามารักษาพยาบาล
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”
นพ.พิษณุ ขันติพงษ์