การระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นเรื่องที่น่าติดตามในเรื่องอันตรายที่ร้ายแรงและการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วอยู่ทุกวันซึ่งพบได้ในข่าวในแต่ละวัน จนกลายเป็นเรื่องเกือบจะปกติไปแล้ว เนื่องจากมนุษย์เราเองต่างก็ตระหนักมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อันเป็นสัญชาติญาณของสิ่งที่มีชีวิตนั่นเอง แม้ว่าการช่วยเหลือจากทางการ ล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพด้วยเหตุปัจจัยหลายๆอย่างที่เป็นอุปสรรค ผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างทุกๆ มิติอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
สำนักงานสถิติแห่งชาติ เคยสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 46,600 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เมื่อ 23 มิ.ย.- 6 ก.ค. 64 เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดด้านการปรับตัวและการเข้าถึงดิจิทัล โดยนำรายงานผลสำรวจให้ ครม.รับทราบด้วย ดังนี้
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 81.5% ไม่ได้ทำงานที่บ้าน เพราะอาชีพไม่เหมาะสมกับการทำงานที่บ้าน ส่วนปัญหาที่ในการทำงานที่บ้าน เช่น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สภาพแวดล้อมไม่อำนวย ส่วนการเรียนออนไลน์พบ 42% มีบุตรหลานอยู่ในวัยที่เรียนออนไลน์14.7% มีบุตรหลานในวัยเรียนแต่ไม่ได้เรียนออนไลน์ ปัญหาที่พบจากการเรียนออนไลน์ 5 อันดับแรก ได้แก่ ไม่ค่อยเข้าใจในวิชาที่เรียน ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ไม่มีสมาธิ สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี และอุปกรณ์ไม่ทันสมัย
สำหรับแผนการปรับตัวเพื่อรับมือกับโควิด-19 พบ 3 อันดับแรก คือ ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต เช่น ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้านทุกครั้งและหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหากไม่จำเป็น 95.4% นำเงินออมออกมาใช้จ่าย 32.6% โดยพบในกลุ่มอาชีพค้าขาย ธุรกิจส่วนตัวในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น และกู้ยืมเงินหรือจำนำ ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ 22.8% โดยมีกลุ่มอาชีพรับจ้างทั่วไป ขับรถรับจ้าง กรรมกร ในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น
ส่วนเรื่องที่รัฐบาลควรสนับสนุนให้ประชาชนปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.จัดหา WIFI ฟรีให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ 66.7% 2.จัดหาอินเทอร์เน็ตให้ประชาชนในราคาถูก 60% 3.จัดหาอินเทอร์เน็ตให้นักเรียน นักศึกษาฟรี 47.6% 4.จัดหาอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ ให้ประชาชนในราคาถูก 42.2% และ 5.จัดให้มีสถานที่กลางในการเรียนออนไลน์สำหรับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลน 33%
ด้านเรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ลดภาระค่าสาธารณูปโภค 67.3% จ่ายเงินชดเชย เยียวยา 60.7% และช่วยเหลือด้านค่าครองชีพ 58.7%
ขณะที่โครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีประโยชน์มากที่สุด ได้แก่ โครงการเราชนะ 76.2% โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 66.7% มาตรการลดค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า 65.4% โครงการคนละครึ่ง 61.2% และโครงการ ม.33 เรารักกัน 43.3% (ที่มา : www.tnnthailand.com/news/covid19/91020/)
ครับ…นี่คือความจริง… กล่าวสำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ที่เป็นตัวที่มีอิทธิพลต่อ อนาคตของชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและผู้บริหารการศึกษาทั้งหลายจะต้องคิดใหม่… มิใช่ทำให้นักเรียนกว่า 1.8 ล้านคนต้องหลุดจากระบบการศึกษา ตามที่เด็กส่วนหนึ่งเขารวมตัวเรียกร้องจากรัฐบาล อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะต้องมีการปฏิรูประบบการเรียนการสอนและหลักสูตรการศึกษาของไทยเสียใหม่เพื่อให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ วัน
แม้จะมีระบบการเรียนแบบสารพัด ‘ออน’ (On) เช่น ออนไลน์ ออนแอร์ ออนไซต์ ฯลฯ แต่ก็ยังเป็นปัญหาสารพัดเพราะเด็กแต่ละคนแต่ละท้องถิ่น ครอบครัวมีฐานะต่างกัน เด็กหลายๆคนและผู้ปกครองที่บ้านยังไม่รู้จักและพื้นฐานการเรียนแบบนี้มาก่อน…น่าเสียดายมากที่รัฐบาลยุคไทยรักไทย-เพื่อไทย มีการส่งเสริมเด็กชั้นประถมให้เข้าถึง มีพื้นฐานด้านไอที การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ด้วยการ แจกแท็บเล็ต ให้นักเรียนทุกคนในระดับประถมฯ แต่พอมาถึงรัฐบาลใหม่ (ไม่ทราบรัฐบาลไหน ?) โครงการนี้เลยล้มเลิกไปบอกว่าสิ้นเปลืองงบฯ…?!!…เด็กๆ ในชนบทเลยเสียโอกาสได้พัฒนาตนเองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาร่วม 8 ปี แล้ว จึงเป็น 8 ปีแห่งการเสียโอกาสของเด็กไทยจริงๆ …แล้วจะไปพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่ของชาติเพื่ออนาคตของชาติได้อย่างไร…เมื่อเปรียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เด็กเขาไปไกลลิบลับแล้วในยุคดิจิทัลอย่างปัจจุบันนี้ จากเหตุปัจจัยเหล่านี้ ส่วนรัฐบาลจะมีปัญญาในการแก้ไขหรือไม่…ก็รู้ๆ กันอยู่ในด้านฝีไม้ลายมือในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในยุคนี้..นอกจากกู้เงิน (ภาษีประชาชนล่วงหน้า) มาแจกเพื่อเอาบุญคุณแล้ว…!??
ในปัจจุบันและในอนาคตเป็นโลกยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และรุนแรง ในการเปลี่ยนผ่านในทุกๆ ด้าน ทั้ง การเมือง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ทุกๆ มิติ ใครช้าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ตามก้นเขาไม่ทันจริงๆ จะทำให้ประเทศชาติล้าหลัง เมื่อขาดผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์ ขาดมองการณ์ไกล แสวงหาแต่อำนาจนิยม กดหัวประชาชนในรูปแบบต่างๆ หากผู้นำชาติใดมีวิธีคิดแบบนี้…ก็มีแต่ถอยหลัง…เท่านั้นเอง การจัดการเรียนการสอนและหลักสูตรในยุคนี้ จะต้องศึกษาแนวโน้มแรงงานการตลาดโลกไปด้วยว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร หลักสูตรที่สอนๆกันในปัจจุบันสอดคล้องกับตลาดแรงงานในอนาคตหรือไม่ เพราะเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าจะมีผลต่อการปรับตัวของแรงงานด้วย
มีการรายงานในวารสารทางวิชาการระดับโลกที่เคยแพร่หลายเมื่อไม่นานมานี้ว่า แรงงานจำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ในทุก ๆ แห่ง จำเป็นจะต้อง Reskill (เสริมทักษะใหม่) ภายในปี 2025 (2568)เพราะเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เป็นต้นว่า 5G, Artificial Intelligence (AI) Machine Learning ,Robotic, รวมทั้ง Engergy Transformation กำลังมีบทบาทในหลายๆ อุตสาหกรรมและธุรกิจ ความรู้ที่มีอยู่อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นหลักสูตรการศึกษาในระดับต่างๆ ก็ต้องปรับปรุงโยด่วน…พร้อมการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและเป็นโจทย์ใหญ่ของผู้บริหารการศึกษาและผู้นำประเทศที่ต้องมีวิสัยทัศน์เพื่อสร้างเยาวชน คนรุ่นใหม่ เจน x y และ z ซึ่งจะเป็นกำลังทางสติปัญญาของประเทศและท้องถิ่นไทยต่อไป