คนมักถามกันว่า เราเกิดมาทำไม แต่วันนี้เราขอถามว่า ทำไมคนเราต้องมาเกิด ดูเหมือนคำถามจะเหมือนกันนะ แต่จริงๆมันกลับกัน ถ้าถามว่าคนเราเกิดมาทำไมหลายคนคงตอบว่าเกิดมาใช้กรรม หลายคนงง เอ๊ะ นั่นสิ ไม่รู้ บางคนว่า เขาให้มาทำความดี อืมมม
นั่นสิ!! แค่คำถามเดียวก็สารพัดคำตอบแล้ว แล้วกับคำถาม ทำไมคนเราต้องเกิดมาละ เราจะค่อยๆ มาตอบกันทีหลังนะคะ
ตอนนี้จะขอเล่าเรื่องสมัยผู้เขียนยังเด็กๆก่อน สมัยที่ผู้เขียนยังเด็ก ที่บ้านผู้เขียนเป็นร้านค้าจิปาถะร้านเดียวในหมู่บ้าน ทุกวันพระผู้เขียนจะได้รับเครื่องถวายทานสำหรับใส่บาตรและถวายพระให้ไปจัดการถวายแทนผู้ใหญ่ซึ่งมีภาระเรื่องทำมาหากิน คุณปู่ที่เป็นเจ้าของชุดทำบุญมีสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถลุก – เดินได้สะดวก จึงใช้ผู้เขียนไปแทน และด้วยบ้านที่เป็นจุดศูนย์กลางในหมู่บ้าน จึงได้เป็นหัวหมวดดูแลเรื่องตกปิ่นโตวัด คือมีหน้าที่แจกจ่ายปิ่นโตให้ลูกหมวดสำหรับให้ชาวบ้านนำอาหารไปถวายพระ ซึ่งหมายถึงว่าถ้าบ้านไหนที่ได้รับปิ่นโตวัดในเย็นวันนี้ วันพรุ่งนี้บ้านนั้นต้องทำหน้าที่ถวายอาหารพระในวัดของหมู่บ้านนั่นเอง สำหรับท่านที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไปคงมีประสบการณ์นี้มาบ้าง ซึ่งถ้าวันไหนมีเถาปิ่นโต 5-6 เถามาวางไว้ที่บ้าน เมื่อผู้เขียนกับน้องชายกลับจากโรงเรียนก็จะช่วยกันนำไปแจกจ่ายตามบ้านลูกหมวดให้แล้วเสร็จก็เป็นอันหมดหน้าที่
บ้านของลูกหมวดของเรานั้นมีหลายหลังทีเดียว เราก็จะช่วยกันนำไปแจกจ่ายทีละบ้านๆ บางบ้านก็ผจญกับน้องหมา บางบ้านก็ต้องผ่านวัด ซึ่งบางทีก็น่ากลัวสำหรับเด็กเพราะเขาว่าที่ศาลาวัดมีผีด้วย แต่เราก็จะอุ่นใจอยู่บ้าง เพราะที่วัดในสมัยนั้นมีพระเณร และขะโยมคือลูกศิษย์วัดที่พ่อแม่นำมาฝากไว้เพื่อเตรียมตัวบวชเป็นพระต่อไป ดังนั้น เหล่าพระเณรและลูกศิษย์วัด ก็จะมีงานประจำของท่าน คือบ้างก็ท่องปาติโมกข์ บ้างก็ท่องบทสวด บ้างก็ท่องคำเตรียมบวช การผ่านวัดของเด็กน้อยสองคนจึงไม่สยองอย่างคิด
นั่นเป็นบรรยากาศของชนบทสมัยเมื่อ 50 ปีขึ้นไป ภาพนี้ได้ปรากฏชัดขึ้นเมื่อผู้เขียนได้ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่านพระครูสิริปัญญาจารย์อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าอ้อดอนชัยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง เราเรียกท่านติดปากมาแต่เด็กว่าตุ้น้าศรี สมัยนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสที่มีหัวสมัยส่งเสริมลูกศิษย์ให้ได้ศึกษาเรียนรู้พระธรรม ทั้งสอนบาลีในวัดด้วย มีลูกศิษย์ที่เป็นพระเณรมาศึกษาเรียนรู้กับท่านมากมาย พระเณรท่านใดมีแววท่านก็ส่งไปเล่าเรียนถึงกรุงเทพ จึงมีลูกศิษย์ของท่านของคนที่สอบได้มหาเปรียญหลายคนทีเดียว ที่ลาสิกขาออกมาก็เป็นฆราวาสก็มาก ที่ยังคงเพศพระก็มีหลายหลายองค์และที่เจริญยศก็หลายองค์ หลายองค์รับพัดยศถึงขั้นราชาคณะทีเดียว
แต่สุดท้าย ทุกสิ่งก็เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง คือไม่เที่ยง ทุกขัง ล้วนไม่พ้นจากทุกข์ อนัตตา เพราะไม่สามารถควบคุมบังคับได้ ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ที่วัดนี้ก็เช่นกัน จากที่เคยรุ่งเรือง มีเสียงท่องบ่นสวดมนต์เล็ดลอดแว่วออกมาจากวัดไม่เคยขาด ก็เงียบเหงา วัดที่เคยเป็นศูนย์กลางของผู้คนก็เริ่มโรยรา เด็กที่เคยมารับการอบรมสั่งสอนก็หนีหายไปกับสังคมที่เปลี่ยนไป โรงเรียนทันสมัยก็เข้ามาแทนที่ อนิจจา ความไม่เที่ยงก็ปรากฏ สุดท้าย ท่านก็จากไป เหลือแต่ความดี ความชั่วไว้ให้เล่าขานเท่านั้นเอง
คนเราเกิดมาทำไม หรือทำไมคนเราถึงต้องเกิดมาคงสรุปรวมลงว่า เพราะอุปทานความยึดมั่นถือมั่นว่าตัว ว่าตน ว่าของตัวของตนยังไม่หมดไป เราจึงต้องเกิดใหม่ และเกิดมาเพื่ออะไร ก็ตอบได้ว่า ก็เกิดมาเพื่อทำความเห็นที่ว่า นี่เรา นี่ของเรา เป็นอุปทานความยึดมั่นในเราของเรา ถูกทำลายลง ให้หมดสิ้นลง หรือจะตอบว่าเพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นเพื่อความหลุดพ้นไปจากอุปทานนี้ ซึ่งพระท่านเรียกว่าอุปทานขันธ์ 5 นั่นเอง