เมื่อ “โรค -ไวรัสโควิด-19” ดิสรัปท์ “โลก” ….และสร้างความครั่นคร้าม..สะพรึงกลัวให้แก่มนุษย์ทั้งโลกฉันใด…ดูเหมือนว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปตาม “กฏของธรรมชาติ” …ฉันนั้น… เพราะธรรมชาตินั้นย่อมจะรักษาความสมดุลของมันไว้เสมอ (Natural Balance) ช่วงนี้คนทั่วโลกกำลังตื่นตระหนกและกำลังตระหนักกับการแพร่ระบาดขนาดหนักตั้งแต่ปลายปี 2562 (2019) ของไวรัสหรือเชื้อโรคที่ชื่อ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากเมืองอูฮั่น(Wuhan) มณฑลหัวเป่ย์ สป.จีน ตอนแรกสื่อมวลชนมักเรียกกันว่า “ไวรัสอูฮั่น” จากเมืองที่เกิดเพราะง่ายต่อการสื่อความหมาย ต่อมาองค์การอนามัยโลก (WHO)ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ไวรัสโควิด-19” (COVID -19 : Corona Virus Disease 2019) เมื่อ 11 ก.พ.63 เพื่อมิให้เป็นตราบาปจากชื่อที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้เชื้อโรคดังกล่าวยังระบาดต่อเนื่องไปทั่วโลกแบบไร้พรมแดนเนื่องจากการเดินทางของผู้คน สำหรับประเทศไทย แม้มีผู้ติดเชื้อบ้างแล้ว แต่ทางการไทยและคนไทยเองก็ให้ความสำคัญในการป้องกันอย่างเต็มที่ในทุกภาคส่วน เพราะเป็นโรคไข้หวัดและโรคปอดอักเสบที่รุนแรง ซึ่งยังหายารักษาไม่ได้ ผู้ที่ได้รับเชื้อกว่าจะรู้ว่าป่วยต้องหลัง 14 วัน จึงจะแสดงอาการซึ่งน่ากลัวเป็นอย่างมาก มีเพียงการแนะนำการป้องกันเบื้องต้นคือ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ(บ่อยๆ)” ส่วนทางการไทยยังให้หลีกเลี่ยงเดินทางไป ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ ในช่วงที่มีการระบาดนี้ และควรหลีกเลี่ยงใกล้ชิดกับคนที่ ไอ จาม หากในที่สาธารณะที่มีผู้คนมาก รวมทั้งการป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัยด้วย
ขณะเขียนต้นฉบับนี้ (ข้อมูลเมื่อ 18 ก.พ.63) สำนักข่าวต่างๆ ระบุว่าไวรัส COVID-19 นี้ทางการ สป.จีนได้แถลงยืนยันว่า มี ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,886 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มเป็น 72,436 ราย ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,868 ราย และรักษาหายแล้ว 12,561 ราย ทั้งนี้โรคดังกล่าว แม้แต่ นพ.หลิว เจ้อหมิง ผอ.โรงพยาบาลอู๋ซาง วัย 51 ปี เมืองอู่ฮั่นในจีนยังเสียชีวิต (กว่านสพ.เชียงรายนิวส์ออกจำหน่ายมาถึงวันนี้ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว)
มาถึงวันนี้ เดือนมีนาคม 2563 ก็เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ น่าจะเบาบางลงและมีแนวโน้มจะควบคุมการระบาดได้อย่างเบ็ดเสร็จหรือเป็นอย่างอื่นไปแล้ว… ก็ขอภาวนาให้เป็นตามที่หลายๆคนคาดหวัง เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ในวงการแพทย์ทั่วโลกจะค้นพบวัคซีนหรือยาต้านโดยเร็ว (วัคซีน ทำจากเชื้อโรคฯค้นพบโดยหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteurชาวฝรั่งเศส เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วเมื่อปี พ.ศ.2471) เพราะการเกิดปัญหาใดๆ ในโลกมนุษย์ย่อมจะ “สร้างปัญญาใหม่” ขึ้นเสมอ หรือที่เรียก “ปัญหา” ทำให้เกิด “ปัญญา” ใหม่เสมอ ในความเป็นจริงการเกิดโรคระบาดต่างๆ มิใช่จะเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันเท่านั้น เรามักจะได้เรียนรู้ว่า ในสมัยโบราณไทยเองก็เคยเกิดโรคระบาดทำให้คนตายค่อนเมืองมาแล้วในสมัยอยุธยา ซึ่งเรารู้จักในชื่อแบบบ้านๆ ว่า “โรคห่า” หรืออหิวาต์ แม้แต่การสงครามสมัยก่อนๆทางยุโรป เอเชีย ก็ดี มักจะพบว่ามีทหารตายด้วยโรคระบาด กว่าถูกกระสุนข้าศึกเสียอีก ต่อมาเมื่อวงการแพทย์เจริญขึ้น การปลูกฝี (ดาษ) (ป้องกันไข้ทรพิษ) วัณโรค ปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2378 โดยหมอบลัดเลย์ เป็นผู้นำเข้ามาเผยแพร่ การปลูกฝีสมัยก่อนจะปลูกที่หัวไหล่ หรือที่แก้มก้นใกล้สะโพก ทำให้เกิดแผลเป็น คุ้มได้ 7 ปี ปัจจุบันไม่คุ้นหูแล้ว เปลี่ยนมาเป็นฉีดวัคซีนซึ่ง ฉีดคุ้มได้ 1 ปี) ต่อมาการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆ ก็ตามมาเริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิด… โรคต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อโรคล้วนเกิดมาเพื่อรักษาดุลธรรมชาติของมันเช่นกัน
ในเมื่อโลกของเรามีจำนวนประชากรมากขึ้น กิจกรรมต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์มีมากขึ้น การทำลายสิ่งแวดล้อมด้วนเทคโนโลยีต่างๆ ที่รวดเร็วและรุนแรง ทำให้ระบบนิเวศวิทยาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดโรคใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส สายพันธุ์ต่างๆ ก็พัฒนากลายพันธุ์ ไปด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ไข้หวัด ซาร์ส – เมอร์ส จนมาถึง โควิด-19 ดังนั้นการอุบัติของโรคภัยต่างๆ ในปัจจุบันก็ตามมาเคียงคู่กับมนุษย์เพื่อรักษาดุลธรรมชาติ แม้แต่การเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง หนาวจัด “โรคระบาด” แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้สิ่งมีชีวิต พืชพรรณ รวมทั้งผู้คนต้องล้มตายไปด้วย …. มากน้อยตามแต่สถานการณ์ เนื่องจากธรรมชาติต้องรักษาความเป็นธรรมชาติ หรือความ “สมดุล” เอาไว้…หากมีมนุษย์มากเกินไปในบริเวณหนึ่งก็อาจจะมีตัวที่มารักษาสมดุลของพื้นที่เอาไว้ ด้วยการลดจำนวนประชากรลงโดยวิถีตามธรรมชาติ เช่น การเกิดโรคระบาดอะไรทำนองนี้อย่างที่ปรากฏซึ่งสามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ได้ตามกฏ “อิทัปปัจจยตา” แปลความได้ว่า เพราะมันมีสิ่งนี้… จึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้นเสมอ… เมื่อสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไปด้วย… ส่วนที่เป็นผลที่ดับไปเรียกว่า “กฏของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติ” เป็นอำนาจของสูงสุดของธรรมชาติ เรียกว่า กฏอิทัปปจัจจยตา ใช้กับทุกสิ่งทั้งนามธรรม และรูปธรรม ดังคำพระที่ได้สั่งสอนว่ามันเป็น “สัจธรรม” เป็นความจริงแห่งธรรมชาติ เพื่อรักษาให้โลกใบนี้อยู่ได้ต่อไป…
ส่วนการเกิด หมอกควัน ไฟป่า หมอกพิษ (SMOG Smoke + Fog ) PM 2.5 และ PM 10 อยู่ในหลายๆ จังหวัดในประเทศไทย และต่างประเทศ หรือ แม้แต่ในเขตภาคเหนือหลายจังหวัด รวมทั้ง เชียงรายขณะนี้ ก็เช่นกัน ล้วนมาจากน้ำมือของมนุษย์ ด้วยสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่มนุษย์เราได้ก่อขึ้น ซึ่งสร้างผลกระทบต่อวงจรและวิถีในการดำเนินชีวิต อาชีพ ของเราไปด้วยในหลายๆเรื่อง… อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อม ป่าไม้ ดิน น้ำ สัตว์ป่า แร่ธาตุต่างๆ ถูกทำลาย ในที่สุดก็ส่งผลกระทบถึงสุขภาพพลานามัย เกิดเจ็บป่วย ล้มตายเร็วขึ้น ในห้วง 2 -3 ปี ที่ผ่านมา จะพบว่า กทม. ภาคกลาง ภาคใต้ หลายจังหวัด ภาคอีสาน ภาคเหนือไทยเรา จะพบกับภัยพิบัติจากสภาพแวดล้อมเป็นพิษในทุกๆ ปี แม้ว่าทางราชการและเอกชนจะร่วมกันรณรงค์ในเชิงอนุรักษ์เพียงใด สถานการณ์ก็ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าใดนัก ปัญหาเดิมๆ เหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและกิจกรรมด้านเศรษฐกิจของมนุษย์บางกลุ่ม ที่ไร้จิตสำนึกนั่นเอง …ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า หมอกควัน หมอกพิษ PM 2.5 และ PM 10 ก็ยังไม่มีอะไรจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนับวันจะต้องเผชิญกับภัยที่มนุษย์เราบางกลุ่มสร้างขึ้นเองทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน…แต่เราก็ต้องของความร่วมมือและปลุกจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อไป ปัจจุบันที่จังหวัดเชียงราย ทั้งภาครัฐและเอกชน ก็มีการรณรงค์ การแก้ไขและป้องกัน ฝุ่นควัน ไฟป่า ฝุ่นพิษ กันอย่างแข็งขัน ตามที่เชียงรายนิวส์ ได้นำเสนอข่าวไปแล้วในฉบับเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้วเพราะคนส่วนใหญ่จะได้เริ่มตระหนักมากขึ้น มีการให้ความรู้ตั้งแต่นักเรียนชั้นอนุบาล ประถม มัธยม และระดับมหาวิทยาลัย
เรื่องที่น่ายินดีที่ช่วยระวังภัยในการปรับตัวและทำให้เรารู้สถานการณ์หมอกควัน “ฝุ่นพิษ” ในแต่ละวันแบบนาทีต่อนาที ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ Real time ก็คือ การที่อาจารย์ส่วนหนึ่งของ3 มหาวิทยาลัยในเชียงราย ซึ่งประกอบด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (เชียงราย) ร่วมมือกับ “สมาคมยักษ์ขาว” เชียงราย (ตามที่ระบุในเชียงรายนิวส์ ก.พ.63) ได้สร้างเครื่องตรวจวัดคุณภาพของสภาพอากาศเฉลี่ยของจังหวัดเชียงราย และ อ.เมืองเชียงราย ขึ้นมาและติดตั้งตามบริเวณต่างๆ 29 แห่ง ชื่อ “ยักษ์ขาววัดฝุ่น” เพื่อตรวจวัดค่าฝุ่นรายงานสภาพอากาศแต่ละบริเวณว่า มีค่า PM 2.5 อย่างไร อันตรายแค่ไหน ควรปฏิบัติตนอย่างไร ซึ่งเป็นนวัตกรรม ที่คิดค้นประดิษฐ์เอง จากผลการวิจัยของอาจารย์ ทั้ง 3 มหาวิทยาลัยดังกล่าว พร้อมเว็บไชต์ yakkaw.com และแอพพลิเคชั่น ซึ่งทุกคนสามารถดาวน์โหลดแอพฯ “ยักษ์ขาว” มาใช้ได้จากมือถือ
ครับ… “โรค -ไวรัสโควิด-19” ที่ดิสรัปท์ “โลก”….อีกทั้ง หมอกควัน ไฟป่า หมอกพิษ (SMOG Smoke + Fog ) PM 2.5 และ PM 10 ที่สร้างความครั่นคร้าม…สะพรึงกลัวให้แก่มนุษย์ทั้งโลกนั้นทุกอย่างย่อมเป็นไปตาม กฎของธรรมชาติ …ที่เรียกว่า “กฎอิทัปปจัจจยตา”…มนุษย์ทั้งหลายพึงตระหนัก…แต่อย่าตระหนก…!!? มากไปต้องร่วมมือช่วยกันแก้ไข…เพื่อให้เรามีชีวิตที่ อยู่รอด และ…ปลอดภัย…